หมอกฤตไท หมอเจ้าของเพจ สู้ดิวะ ที่ต่อสู้กับมะเร็งปอดจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาคือใคร มาทำความรู้จักกัน เป็นข่าวเศร้าของวงการแพทย์เลยก็ว่าได้ เมื่อ หมอกฤตไท หรือ นายแพทย์กฤตไท ธนสมบัติกุล เจ้าของเพจ สู้ดิวะ ผู้แบ่งปันเรื่องราวการต่อสู้กับโรคร้ายหลังตรวจพบมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่เป็นคนรักสุขภาพ ได้จากไปอย่างสงบแล้วหลังจากรักษามานานแรมปี จากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนเกิดความสงสาร เห็นใจ และอยากรู้จักเขา กระปุกดอทคอมจึงขอพาไปเปิดประวัติของหมอสู้ชีวิตคนนี้กันหมอกฤตไท ประวัติและการศึกษา หมอกฤตไท หรือ นายแพทย์กฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 29 ปี เกิดในครอบครัวเชื้อสายจีน จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (OSK 131) และปริญญาตรีจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่น 56 โดยในขณะเรียนอยู่นั้นเขาก็ยังเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของคณะด้วย หลังจากเรียนจบ หมอกฤตไท ได้ศึกษาต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) พร้อมกับศึกษาด้านระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) ก่อนจะศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้านวิทยาการข้อมูล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากเรียนจบแพทย์เฉพาะทางแล้ว หมอกฤตไท ได้บรรจุเข้าทำงานเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความรู้ความสามารถจนได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม CE (Clinical Epidemiology) ร่วมกับอาจารย์อีกหลายท่านตรวจพบมะเร็งปอด หมอกฤตไทเป็นคนรักสุขภาพมาก ๆ ไม่สูบบุหรี่ และออกกำลังกายเป็นประจำ ทว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2565 เขาได้สังเกตถึงความผิดปกติของอาการไอของตัวเอง จึงเข้ารับการตรวจ และพบว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ซึ่งไม่สามารถผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาดได้ โดยเหลือปอดขวาที่แข็งแรงเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ปัจจัยเดียวที่เป็นไปได้คือ ภาวะฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงในจังหวัดเชียงใหม่ และหลังจากเข้ารับการรักษาทั้งการใช้เคมีบำบัดและการฉายแสง หมอกฤตไทจึงตัดสินใจเปิดเพจ สู้ดิวะ เพื่อแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ให้สังคม รวมถึงเขียนหนังสือ สู้ดิวะ ขึ้นมาด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากรักษาตัวแต่มะเร็งลุกลาม หมอกฤตไทรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วงต้นปี 2566 ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาดี จนสามารถออกกำลังกายและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งการเล่นกีฬา รวมถึงกลับไปสอนหนังสือ แต่ตอมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กลับพบว่ามีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่กระจายไปทั่วสมอง เดือนเมษายน 2566 ผลการติดตามพบว่าก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม ก้อนเล็ก ๆ ที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ ไม่มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอดที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครงทำให้มีอาการปวด ซึ่งสามารถทำการฉายแสงเฉพาะจุดได้ ซึ่งระหว่างการรักษา หมอกฤตไท ได้โพสต์เฟซบุ๊กสะท้อนถึงปัญหาของฝุ่น PM2.5 ที่แม้แต่อากาศจะหายใจยังมีความเหลื่อมล้ำในประเทศเรา โดยมีแฟน ๆ ส่งกำลังใจให้มากมายแต่งงานกับแฟนสาว การรักษามะเร็งยังดำเนินต่อไป แต่โรคร้ายนี้ก็อาจคร่าชีวิตคุณหมอได้ทุกเมื่อ เขาจึงตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับคุณพีม แฟนสาว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 โดยในงานนี้เป็นงานเล็ก ๆ ที่น่ารัก เน้นเชิญเฉพาะญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ที่สนิทมาร่วมงาน โดยในงานเป็นงานกลางแจ้ง จัดในบรรยากาศที่อบอุ่น ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ โดยคุณพีมก็ได้กล่าวสั้น ๆ ในงานแต่งงานว่า "พีมว่าพีมโชคดีมาก ๆ จริง คือพี่ไทจะพูดตลอดเลยว่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า พีมก็จะตอบพี่ไททุกครั้งเลยว่า พีมโชคร้ายที่พีมไม่รู้ว่าพีมจะอยู่กับพี่ไทไปถึงเมื่อไร พีมโชคร้ายแค่นั้นเลย ที่เหลือ ตั้งแต่ที่พีมพบพี่ไท พีมรู้สึกมาตลอดเลยว่าพีมโชคดี ที่เจอคู่ชีวิตได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องมันจะไปทางไหน ไม่ว่าเรื่องมันจบยังไง ตอนนี้โชคดีที่สุดแล้วค่ะ"ข้อความบอกลา หลังจากที่แอดมินเพจ สู้ดิวะ ได้ออกมาบอกถึงอาการของหมอกฤตไทที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ตัวคุณหมอเองก็ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนอาจจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว น่าจะไปช่วงกลางเดือนธันวาคม 2566 ใครมีอะไรอยากบอกสามารถบอกได้เลย และหากตนเคยทำอะไรให้ใครไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วย ซึ่งทำให้มีเพื่อนพี่น้อง และแฟน ๆ มาส่งข้อความให้กำลังใจกันอย่างล้นหลามบทส่งท้าย จากหมอกฤตไท ล่าสุด ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ธันวาคม 2566 หมอกฤตไทได้จากไปอย่างสงบหลังจากที่ต่อสู้กับมะเร็งนานนับปี ท่ามกลางความอาลัยของครอบครัว เพื่อน และแฟน ๆ ที่ติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนถึงวาระสุดท้าย หมอกฤตไทได้ทิ้งบทส่งท้ายของชีวิตเพื่อเป็นข้อคิดให้คนอื่น ๆ โดยมีใจความดังนี้ “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด” เรื่องราวของ หมอกฤตไท ทำให้หลายคนตระหนักได้ว่า เรื่องไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตได้เสมอ อย่างไรก็ตาม กระปุกดอทคอมขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวของคุณหมออีกทางนะครับ ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก สู้ดิวะ, Krittai Tanasombatkul
แสดงความคิดเห็น