เนมานย่า วิดิช ปราการหลังคนเหล็กของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เนมานย่า วิดิช

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Nemanja Vidic

           ถ้าเอ่ยถึงนักกีฬาฟุตบอล หลาย ๆ คนมักนึกถึงกองหน้าจอมถล่มประตู ปีกจอมลากเลี้อย หรือกองกลางตัวปั้นเกมรุก แต่ยังมีอีกตำแหน่งหนึ่งที่สำคัญมากในเกมฟุตบอลนั่นก็คือ กองหลัง นั่นเอง ซึ่งในช่วงท้ายฤดูกาลปี 2013-2014 คงไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับปราการหลังคนไหนน่าสนใจไปกว่าการประกาศย้ายทีมของ "เดอะ เทอร์มิเนเตอร์" เนมานย่า วิดิช (Nemanja Vidic) ปราการหลังตัวหลักและกัปตันทีมชาวเซอร์เบียของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะย้ายไปสู่สโมสร อินเตอร์ มิลาน ทีมชั้นนำของอิตาลีในฤดูกาลหน้า กระปุกดอทคอมจึงขอนำเสนอเรื่องราวของเขาให้แฟนฟุตบอลได้จดจำกัปตันพันธุ์แกร่งรายนี้กันอีกครั้ง

           เนมานย่า วิดิช เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ปี 1981 ที่ประเทศยูโกสลาเวีย เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 6 ปี และเริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพในวัย 12 ปี กับสโมสรท้องถิ่นในบ้านเกิด ท่ามกลางสงครามกลางเมืองในช่วงนั้น จนในปี 2000 วีดิชมีโอกาสได้เล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับทีม เรดสตาร์ ซูโบติกา ด้วยสัญญายืมตัว หลังจากนั้นก็กลับมาเล่นให้กับต้นสังกัด เรดสตาร์ เบลเกรด ในตำแหน่งกองหลังและยังเป็นกัปตันทีม พร้อมกับโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมด้วยการซัลโว 12 ประตู ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับผู้เล่นตำแหน่งกองหลัง

           หลังจากนั้นในปี 2004 วิดิชก็ย้ายเข้าสู่สโมสร สปาตัก มอสโคว์ ในลีกประเทศรัสเซีย โดยไม่มีการเปิดเผยค่าตัว แต่ลือกันว่าเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกรัสเซีย ซึ่งหลังจากโชว์ลีลาได้ 2 ปี วีดิชก็ได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ ๆ ในยุโรปมากมาย และสุดท้ายเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ปิดดีลกับวิดิชด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ แต่กว่าจะได้เข้าสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดก็ต้องรออีกครึ่งปี เนื่องจากติดเรื่องเอกสารการทำงานต่างแดน

เนมานย่า วิดิช

           ทั้งนี้ เนมานย่า วิดิช ได้ลงสนามนัดแรกในปี 2006 โดยเปลี่ยนตัวกับ รุด ฟาน นิสเตลรอย ในเกมพรีเมียร์ลีคนัดที่พบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ แม้ฟอร์มโดยรวมยังไม่โดดเด่นมาก เพราะเข้ามาในช่วงท้ายฤดูกาล แต่เขาก็มีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพในปีนั้น

           ต่อมาในฤดูกาลปี 2006-2007 วิดิชได้รับโอกาสให้เป็นกองหลังตัวหลักยืนคู่กับริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยได้รับโอกาสลงเล่นในลีกถึง 25 นัด พร้อมกับยิงได้ 3 ประตู รวมทั้งยังยิงประตูในเกมถ้วยยุโรปอีก 1 ประตู ฉายแววความยอดเยี่ยมของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ และในฤดูกาลปี 2007-2008 เขาก็มีส่วนช่วยแมนยูคว้าดับเบิลแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีกและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

           วิดิชยังคงแสดงฟอร์มอันร้อนแรงของกองหลังจนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลถึง 2 ครั้ง ในฤดูกาล 2008-2009 และฤดูกาล 2010-2011 เท่ากับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ทั้งยังเคยได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากการโหวตโดยเพื่อนร่วมอาชีพในพรีเมียร์ลีกด้วยกัน รวมถึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นกัปตันทีมของแมนยูในช่วงหลัง นำพาทีมสู่ชัยชนะมามากมาย ก่อนอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจะมาเข้ามารบกวนในช่วงกลางฤดูกาลปี 2011 และกลางปี 2012 จนหมดสิทธิ์ช่วยทีมไปหลายนัด

           ในฤดูกาลปี 2013-2014 วิดิชประกาศย้ายทีมหลังจากจบฤดูกาลอย่างเป็นทางการเเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปี 2014 โดยเซ็นต์สัญญากับทีมงูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งเจ้าตัวเผยความรู้สึกว่า เขาตัดสินใจจะไม่เล่นอยู่ในลีคอังกฤษอีกต่อไป หากไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยนัดสุดท้ายของเขาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นนัดพบกับฮัลล์ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีก ปิดฉากตำนานกองหลังและกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสรปิศาจแดงลงอย่างสวยงาม

           ด้านการเล่นทีมชาติ วิดิชเล่นให้กับทีมชาติเซอร์เบีย แอนด์ มอนเตเนโกร เป็นผู้เล่นกองหลังคนสำคัญของทีมตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งแม้จะช่วยพาทีมเข้ารอบฟุตบอลโลกในปี 2006 แต่ต้องอดลงสนามเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ต่อมาในฟุตบอลโลกปี 2010 เซอร์เบียเข้ารอบสุดท้ายด้วยผลงานอันดับ 1 ของกลุ่มด้วยการป้องกันอันยอดเยี่ยม แต่ก็ตกรอบแบ่งกลุ่มแม้จะเอาชนะยักษ์อย่างเยอรมนีได้ก็ตาม หลังจากนั้น วิดิชก็ประกาศถอนตัวจากทีมชาติในปี 2011

           วีดิชได้รับฉายาว่า ปราการหลังนักรบ (Warrior) และคนเหล็กเซอร์เบีย (Serbinator) มีลีลาการเล่นเหมือนกับสตีฟ บรู๊ซ กองหลังตัวเด็ดของแมนยูที่โดดเด่นมากในช่วงยุค 1980-1990 เน้นการเข้าบอลอันดุดัน กล้าได้กล้าเสีย อ่านเกมเฉียบขาด รวมทั้งเติมเกมรุกได้อย่างน่ากลัว เหมาะกับสไตล์การเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นอย่างดี ด้านสถิติ เขาได้ลงสนามถึง 299 นัด ยิงได้ 21 ประตู และคว้าแชมป์ร่วมกับแมนยูถึง 15 ถ้วย

           สำหรับแฟน ๆ แมนยูคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่กองหลังตัวเก่งต้องจากทีมไป ตรงข้ามกับแฟนงูใหญ่ที่จะได้เห็นลีลาและความเก๋าของกองหลังวัย 32 ปี รายนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า เนมานย่า วิดิชจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมแค่ไหนในฟุตบอล กัลโช ซีเรียอา ครับ

เนมานย่า วิดิช

เนมานย่า วิดิช

เนมานย่า วิดิช

เนมานย่า วิดิช

เนมานย่า วิดิช

เนมานย่า วิดิช

คลิปNemanja Vidic\'s Final Old Trafford Interview - Time At Manchester United Was Best Part Of My Lifeโพสต์โดยคุณBeanymanSportsสมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม




เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เนมานย่า วิดิช ปราการหลังคนเหล็กของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อัปเดตล่าสุด 7 พฤษภาคม 2557 เวลา 14:56:21 6,768 อ่าน
TOP
x close