
สธ.คาด กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายกว่า 6 แสนคนในไทยเสี่ยงติดเอดส์เพิ่ม 11 เปอร์เซ็นต์ เหตุละเลยป้องกัน มีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดภายใน 12 ปี
เว็บไซต์ข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ เผยผลสำรวจเกี่ยวกับโรคเอดส์จากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2555 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเอดส์กว่า 1.15 ล้านคน โดยร้อยละ 80 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งในกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย พนักงานขายบริการ และผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด ซึ่งกลุ่มที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงมากที่สุดคือกลุ่มชายร่วมเพศกับชาย ซึ่งมีจำนวนมากถึง 600,000 คน จากประชากรชายไทย 32 ล้านคน โดยตั้งแต่ปี 2532-2554 กลุ่มดังกล่าวมีอัตราติดเชื้อเอดส์มากขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าในอีก 12 ปี กลุ่มชายร่วมรักกับชายจะมีอัตราติดเชื้อสูงกว่ากลุ่มหญิงขายบริการและกลุ่มใช้สารเสพติดชนิดฉีด
นอกจากโรคเอดส์แล้ว กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายยังมีแนวโน้มเป็นมะเร็งทวารหนักสูงขึ้นด้วย อันเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและผู้ที่มีเชื้อ HPV ที่ปลายอวัยวะเพศ โดยการศึกษาในต่างประเทศพบว่าผู้ป่วยเอดส์มีความเสี่ยงเป็นมะเร็วทวารหนักมากกว่ามะเร็งปากมดลูก รวมทั้งอัตราการเกิดมะเร็งทวารหนักในกลุ่มชายรักชายเพิ่มขึ้นจาก 0.8 คนต่อประชากร 100,00 คน เป็น 35 คนต่อประชากร 100,000 คน ยิ่งเมื่อมีเชื้อ HIV ก็จะทำให้กระบวนการของมะเร็งเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นเป็น 2 เท่า
พญ.รสพร กิตติเยาวมาลย์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาวิชาการ กลุ่มบางรักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค เผยว่า ข้อมูลจากการศึกษากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ระหว่างมกราคม 2550 - เมษายน 2551จำนวน 174 คน พบว่ามีผู้ติดเชื้อ HIV 118 คน หรือ 67.8 เปอร์เซ็นต์ และพบว่ามีเซลล์ทวารหนักผิดปกติถึง 40 คน หรือ 33.9 เปอร์เซ็นต์ จึงแนะนำให้กลุ่มชายรักชายใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งและทุกช่องทางไม่ว่าจะออรัลเซ็กส์หรือทวารหนัก เนื่องจากการล้างอวัยวะเพศและการสวนทวารหนักไม่สามารถฆ่าเชื้อดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ชายที่มีเชื้อ HIV ก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งทวารหนักทุก 1 ปี ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อก็ควรตรวจทุก 3 ปี เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที

