![เหงื่อ](http://img.kapook.com/image/ning/sh150762.jpg)
กลเม็ดระงับกลิ่นเหงื่อ (Men\'s Health)
เรื่อง นพ.ประยูร เจนตระกูลโรจน์
ร่างกายของมนุษย์มีระบบขับของเสียหลายวิธี และหนึ่งในนั้นก็คือ "เหงื่อ" ซึ่งแต่ละคนจะมีเหงื่อมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะทางพันธุกรรม โรคประจำตัว กิจกรรมที่ทำ สภาพอารมณ์ และสภาพสิ่งแวดล้อม
เหงื่อออกได้อย่างไร
เหงื่อเป็นของเสียชนิดหนึ่งที่ร่างกายขับออกมาในรูปของเหลว เกิดจากการสันดาป (Metabolism) ของร่างกายจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยจะขับออกมาทางรูขุมขนบนผิวหนัง ร่างกายของคนเรามีต่อมเหงื่อประมาณ 2-4 ล้านต่อมกระจายอยู่ทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณหนังศีรษะและใบหน้า แต่จะมีมากที่สุดบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า
เมื่อร่างกายเราได้รับการกระตุ้นจากอารมณ์ หรือความร้อนจากสิ่งแวดล้อม จะทำให้สมองหลั่งสารเคมีชื่อ "อะซีทิลโคลีน" (Acetylchline) ซึ่งอยู่บริเวณปลายประสาทเป็นการกระตุนต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อ อารมณ์ที่ตื่นเต้นหรือหวาดกลัวก็จะทำให้เส้นประสาทนี้ถูกกระตุ้น ดังนั้นเครื่องจับเท็จจึงสามารถวัดได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าสถิตในผิวหนังและเหงื่อของเรานั่นเอง ส่วนปริมาณของเหงื่อก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่คุณทำ หากออกแรงหรือเคลื่อนไหวมาก ๆ ร่างกายก็จะมีการสันดาปมาก ทำให้เหงื่อออกมาก
เหงื่อยังมีความสัมพันธ์กับความผันผวนของอากาศ อากาศที่ร้อนมีความชื้นสูง จะทำให้เหงื่อออกมากกว่าอากาศที่มีความชื้นสูง จะทำให้เหงื่อออกมากกว่า อากาศที่มีความชั้นต่ำ หากอากาศร้อนมาก ๆ คนเราอาจเสียเหงื่อได้มากถึงชั่วโมงละ 1 ลิตร และหากไม่รีบดื่มน้ำเข้าไปทดแทน อาจทำให้เป็นลม เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนหรือไตวายได้นะครับ ซึ่งสาเหตุแท้จริงที่ร่างกายเราสร้างเหงื่อขึ้นมานั้น ก็เพื่อเป็นการปรับสมดุลและช่วยบรรเทาความร้อนให้กับร่างกาย ทั้งนี้เพราะในเหงื่อประกอบด้วยน้ำเป็นหลักนั่นเอง
กลิ่นเหงื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยลำพังของเหงื่อแล้ว ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือเป็นอันตรายกับผิวของเราแต่อย่างใด แต่กลิ่นตัวที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการหมักหมมของเหงื่อ อย่าลืมนะครับว่าเหงื่อมีของเสียที่ร่างกายขับออกมา ไขมัน โปรตีน หรือแป้งที่ร่างกาย ขับออกมาจากอาหารที่เรากินนั้น หากไม่ได้รับการชำระล้างก็จะเกิดปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอากาศและบนผิวหนัง ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นได้ครับ ยิ่งถ้าเป็นเหงื่อที่ออกบริเวณที่มีเส้นขนขึ้นเยอะ ๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดอับชื้นได้มากขึ้น กลิ่นจึงยิ่งรุนแรงขึ้น ดังนั้นเหงื่อที่ออกมาแต่ละที่อาจเกิดกลิ่นได้มากน้อยต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของต่อมเหงื่อบริเวณนั้นด้วยครับ
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหงื่อ
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_21d99b62d6aef91.gif)
วิธีกำจัดกลิ่นเหงื่อ
การที่เหงื่อออกมาก ทำให้โอกาสในการเกิดหมักหมมจนเกิดกลิ่นก็มากขึ้น ซึ่งหากมมีการติดเชื้อก็จะแค่ส่งกลิ่นอย่างเดียว ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยรวมแต่อย่างไรการกำจัดกลิ่นเหงื่อ นิยมทำโดยป้องกันการเกิดเหตุ คือ การลดการหลั่งของเหงื่อ จึงมักมีการผสมสารลดการหลั่งของเหงื่อ (Antiperspirants) ลงในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ซึ่งหากกังวลว่าจะแพ้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น อาจเลือกใช้สารส้ม หรืออะลูมิเนียมซัลเฟต (Aluminium Sulfate) ทาบริเวณจุดอับ ซึ่งจะช่วยยับยั้งการออกของเหงื่อได้ โดยไม่เข้าไปอุดตันรูขุมขน จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
การกำจัดขน โดยเฉพาะขนรักแร้สามารถช่วยลดการเกิดกลิ่นตัวลงได้บ้าง เพราะขนที่ยาวจะกักเก็บเหงื่อไคลและแบคทีเรียได้มากกว่า ทำให้เกิดการหมักหมมได้ง่ายกว่ามากครับ บางคนอาจเลือกใช้สบู่ที่ช่วยกำจัดแบคทีเรีย ซึ่งก็มีส่วนช่วยได้บ้างแต่อาจไม่เห็นผลได้นาน โดยเฉพาะในคนที่มีเหงื่อออกมาก ๆ
ปัจจุบันมีวิธีการหนึ่งที่ยับยั้งเหงื่อได้ดี คือการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อใช้ลดเหงื่อเฉพาะที่ เช่น บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยโบท็อกซ์จะเข้าไปลดการทำงานของต่อมเหงื่อ และกล้ามเนื้อบริเวณต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อลดลงหรืออาจแทบจะไม่มีเลยเป็นการชั่วคราว ประมาณ 6 เดือนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แม้จะได้ผลดีจริง แต่ก็เจ็บเล็กน้อย และมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควรครับ
อย่างไรก็ตาม สุขภาพผิวที่ดีและผิวที่มีกลิ่นหอมสดชื่นขึ้นอยู่กับการรักษาความสะอาดเป็นสำคัญที่สุดครับ แม้จะใช้สารพัดวิธีระงับเหงื่อหรือกำจัดแบคทีเรีย แต่ถ้าไม่อาบน้ำให้สะอาด หรือใช้เสื้อผ้าสกปรกซ้ำ ๆ โรคผิวหนังอื่น ๆ ก็อาจถามหาคุณได้นะครับ
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_83097_2759d431abd7d33.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_83097_8cb4fdde38ead51.gif)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
![](http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/Men%27s-Health_logo.jpg)