สักลาย แฟชั่นยอดนิยมในหมู่วัยรุ่น กับวิธีการป้องกัน-ดูแลร่างกายทั้งก่อนและหลังลงเข็ม ไม่ให้ติดเชื้อ HIV หรือโรคติดต่อทางผิวหนังที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ปัจจุบันศิลปะบนเรือนร่างอย่าง รอยสัก เริ่มได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบ้านเรา เหล่าคนรักแทททูจึงพากันหาลายสักเท่ ๆ มาลงเข็มสร้างเอกลักษณ์และสไตล์ให้ตัวเองกัน แต่ทว่าความสวยงามนี้กลับมาพร้อมความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โรคผิวหนัง หรือโรคติดต่อทางกระแสเลือด คนที่อยากสักจึงต้องศึกษาวิธีป้องกันและดูแลร่างกายให้ดี เพราะโรคที่แทรกซ้อนมาอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต อย่างที่เป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ได้
ใครที่อยากมีรอยสักเท่ ๆ บนร่างกาย แต่ยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวและดูแลร่างกายอย่างไรถึงจะปลอดภัย กระปุกดอทคอมจึงได้นำวิธีดูแลร่างกายทั้งก่อนและหลังสักลาย มาให้ทุกคนได้อ่านไว้เป็นแนวทางกัน
และนี่คือการเตรียมตัวเบื้องต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงหลัง สักลาย
1. เลือกร้านและช่างสักให้ดี
การรวบรวมข้อมูลร้านสักนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเรื่อง ความสะอาด อุปกรณ์ที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่ และช่างสักมีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด อย่าด่วนตัดสินใจเพราะเห็นว่าราคาถูก ของแบบนี้คุณภาพต้องมาก่อน
2. ตรวจสอบโรคประจำตัว
ควรมีการตรวจเช็กสภาพร่างกายก่อนสักลายด้วยเช่นกัน ว่ามีโรคประจำตัวอย่าง โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูงหรือเปล่า เนื่องจากตอนสักจะต้องทนเจ็บปวดเป็นเวลานาน อาจเกิดอาการช็อก ตัวเกร็ง กะทันหันได้ ซึ่งควรแจ้งช่างสักทุกครั้ง ส่วนคนที่เป็นโรคเบาหวาน เกล็ดเลือดต่ำ ผิวหนังแพ้สารเคมี แนะนำให้หลีกเลี่ยง เพราะเลือดจะไหลเยอะมาก แผลหายช้า และเสี่ยงต่อการติดโรคแทรกซ้อน ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
3. เตรียมอุปกรณ์จำเป็นให้พร้อม
หลักลงเข็มเสร็จจะต้องมีการดูแลอย่างดีและใช้อุปกรณ์หลายอย่างมาก ทางที่ดีควรหามาเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยสิ่งที่จำเป็นมีดังนี้ ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum jelly) หรือที่เรียกกันติดปากว่า วาสลีน ใช้ทาแผลเพื่อป้องกันการเสียดสี รักษาความชุ่มชื้น และป้องกันแบคทีเรีย, สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้ทำความสะอาด, ผ้าก๊อซ ไว้สำหรับเช็ดแผล และเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เอาไว้ใส่ตลอดทั้งอาทิตย์ ป้องกันอาการอักเสบและติดเชื้อ
ปกติช่างจะนำ ปิโตรเลียมเจลลี่ มาทาให้ พร้อมปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ใสหลังสักเสร็จเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ พอปิดครบ 24 ชั่วโมง ควรเปิดออกมาทำความสะอาดด้วยสบู่แล้วเช็ดแผลให้แห้ง อาจต้องระมัดระวังเนื่องจากช่วงนี้จะมีน้ำเหลืองและเลือดไหลซึมอยู่เรื่อย ๆ จากนั้นทาปิโตรเลียมเจลลี่ซ้ำ แต่ไม่ต้องปิดพลาสเตอร์ใส ปล่อยให้แผลค่อย ๆ แห้งเองตามธรรมชาติ
5. ช่วง 1 สัปดาห์หลังสัก
เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ รอยสักอาจมีสีแดงคล้ำและตกสะเก็ด ซึ่งเป็นอาการปกติ แต่ต้องหมั่นทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และทาครีมบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื้น ระยะนี้ห้ามแกะสะเก็ดแผลหรือใช้เล็บเกาแรง ๆ เป็นอันขาด เพราะจะทำให้แผลเปิดและติดเชื้อจากเล็บได้ง่าย
6. เฝ้าดูอาการผิวหนัง
พ้นสัปดาห์แรกมาได้ อะไร ๆ ก็เริ่มจะดีขึ้น เพียงแค่ต้องเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนและหมั่นตรวจเช็กผิวหนังโดยรอบ หากมีอาการบวมแดง ปวดตึง รู้สึกเจ็บผิดปกติเวลาสัมผัส หรือมีของเหลวไหลออกมา ให้รีบพบแพทย์ผิวหนังทันที เนื่องจากผิวหนังอาจติดเชื้อร้ายแรง
7. ตรวจเลือดหลังผ่านไป 15-20 วัน
หนึ่งในโรคที่น่ากลัวที่สุดจากการสัก คือ การติดเชื้อ HIV เชื้อไวรัสรุนแรงที่ไปทำลายเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งกว่าจะแสดงอาการต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ถึงตอนนั้นอาจร้ายแรงจนรักษายากแล้ว ทั้งนี้วงการแพทย์ได้พัฒนา NAT (Nucleic Acid Amplification Testing) วิธีตรวจเชื้อ HIV ในเวลารวดเร็วและแม่นยำขึ้น สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 15 วันเป็นต้นไป ทุกคนที่ลงเข็มมาควรได้รับการตรวจสักครั้ง และตรวจเลือดอีกรอบเมื่อครบ 1 ปี เพื่อความแน่ใจและหาวิธีรักษาได้ทัน
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คนสักลายต้องทำความเข้าใจก่อนสัก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือโรคร้ายแรง อย่างไรก็ตามหากช่างสักมืออาชีพมีคำแนะนำใด ๆ เพิ่มเติม ก็ควรรับฟังและทำตามด้วย จะได้ไม่ผิดพลาดและแก้ไขได้ทันท่วงที