ด้าน ศ. นพ.ลอน ชไนเดอร์ (Lon Schneider) แพทย์สาขาจิตเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในทีมนักวิจัย กล่าวว่า พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิตมีผลทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง ดังเช่นในช่วงต้นของชีวิต เป็นช่วงที่สมองควรได้รับการฝึกฝนและการพัฒนา ซึ่งการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สมองเกิดการพัฒนา จดจำและเรียนรู้ และหากเด็ก ๆ ได้รับการศึกษาจนถึงอายุ 15 ปี ก็จะสามารถลดภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 8 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งการเรียนรู้จะเป็นการช่วยให้สมองถูกกระตุ้นและถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ ก็สามารถลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน โดยนักวิจัยพบว่า คนที่เลิกสูบบุหรี่ได้เร็ว จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเลิกบุหรี่นี้ จะช่วยลดจำนวนของสารพิษที่เข้ามาในร่างกาย ช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติ ก็สามารถช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน
นักวิจัยยังเปิดเผยอีกว่าการสูญเสียการได้ยินหรืออาการหูตึงนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมอีกด้วย เพราะเมื่อร่างกายสูญเสียการได้ยิน เราต้องใช้ความพยายามในการตั้งใจฟัง ทำให้สมองทำงานหนักมากจนอาจเกิดโรคสมองเสื่อมได้ ซึ่งหากเราสามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการหูตึงได้ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ถึง 9 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ข้อมูลจาก mirror.co.uk, cbsnews.com