
ปัจจุบันมีผู้คนมากมายหันมารักษาสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่ก็มีหลายคนที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะยอมแพ้เสียก่อน ทั้งที่อุตส่าห์ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไปแล้ว วันนี้เราจึงหยิบเรื่องราวการลดความอ้วนของหนุ่มรายหนึ่งมาฝากกันครับ ซึ่งเขาได้แชร์บนเว็บไซต์พันทิปดอทคอม โดยตั้งชื่อกระทู้ว่า "เจาะลึกการลดน้ำหนักจากน้ำหนัก 116 กิโลกรัม สู่ 71 กิโลกรัม เกลียดสลัดเกลียดโยเกิร์ตก็ลดได้" เราไปชมกันเลยว่าเขามีวิธีลดน้ำหนักอย่างไรบ้าง

สวัสดีครับ ผมอยากแชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักของตัวเอง ขอย้อนไปตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ซึ่งไม่ว่าจะเรียนอยู่ชั้นไหน ผมก็จะมีน้ำหนักตัวเยอะที่สุดในห้องเสมอ แต่เนื่องจากผมสูง 184 เซนติเมตร จึงไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไร กระทั่งตอนอยู่ม.6 ผมมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 103 กิโลกรัม และพุ่งขึ้นถึง 116 กิโลกรัมตอนอยู่ปี 2 ในช่วงนั้นครอบครัวและเพื่อน ๆ มักจะบอกให้ลดน้ำหนักเป็นประจำ แต่ผมก็ขี้เกียจทำและบอกไปแค่ว่า "เดี๋ยวลด"
จนอยู่มาวันหนึ่ง จู่ ๆ คุณพ่อก็เอายาตัวหนึ่งมาฉีดที่ท้องผม ซึ่งพ่อบอกว่ามันจะช่วยให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น และผมก็เริ่มควบคุมอาหารไปเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไป 4 เดือน น้ำหนักก็ลดลงเหลือ 93 กิโลกรัม แต่ผมดันกลับมากินเยอะเหมือนเดิม ทำให้น้ำหนักขึ้นมาที่ 106 กิโลกรัม ผมบอกได้เลยว่ายาตัวนั้นไม่ช่วยอะไรเลย

เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงใกล้เปิดเทอมปี 4 ผมก็คิดได้ว่าถ้าเราลดความอ้วนแบบจริงจังและผอมทันก่อนใส่ชุดรับปริญญาจะเป็นอย่างไร ? ว่าแล้วผมก็เริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจังเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554 โดยเป็นวันเปิดเทอมวันแรกครับ ซึ่งผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่ก็ทำสำเร็จในระดับหนึ่ง มาถึงตรงนี้ผมอยากบอกว่ากุญแจที่สำคัญที่สุดในการลดความอ้วนคือ "แรงบันดาลใจ "





วิธีการลดน้ำหนักของผม อาจจะเป็นเรื่องเบสิกที่ใครหลายคนน่าจะทราบกันดี นั่นคือ การนับแคลอรีของอาหารและการออกกำลังกาย สำหรับการกินนั้น บอกก่อนเลยว่าผมชอบกินของทอดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอด ไก่ทอด ไส้กรอก และเบคอน รวมถึงน้ำอัดลม แต่ไม่ชอบกินผักเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่ชอบกินโยเกิร์ต ซึ่งเป็นอาหารแคลอรีต่ำด้วย ทำให้ช่วงแรกคิดว่าตัวเองคงลดไม่ได้แน่ แต่สุดท้ายก็พบว่าเราไม่จำเป็นต้องกินแต่ของที่เราไม่ชอบก็ลดได้เหมือนกัน

1. หลัก ๆ เลยคือจะกินอะไรกินได้ครับ แต่ต้องนับแคลอรีไม่ให้เกินความต้องการของร่างกายต่อวันด้วย จึงทำให้ผมต้องงดพวกของทอด ของหวาน และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้มีแคลอรีสูง
2. ลดแป้งจำพวกข้าวและขนมปังให้ได้ รวมถึงน้ำตาลเช่นกัน แต่ไม่ใช่งดนะครับ เพราะแป้งจะให้คาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเรา โดยผมลดข้าวในแต่ละมื้อลงถึง 70 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยกิน
3. เลี่ยงที่จะใส่น้ำมันในการทำอาหารไปเลย แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ใส่แค่นิดเดียวพอ อย่างมากสุดคือ ครึ่งช้อนชา เพราะเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปก็มีไขมันอยู่แล้ว นอกจากนี้ผมยังงดพวกเมนูไส้กรอกด้วย เนื่องจากมีแต่แป้งกับมันล้วน ๆ กินไปก็ไม่อิ่ม แถมแคลอรีสูงอีกต่างหาก
4. กินกับข้าวให้เยอะเข้าไว้ ถึงจะเปลืองหน่อย แต่ก็คุ้มค่ามาก
5. มาถึงเรื่องขนม ผมกินบ้างไม่ถึงกับงด แต่ก่อนที่จะกิน ผมมักจะดูข้อมูลทางโภชนาการอยู่เสมอเพื่อเช็กปริมาณแคลอรี ขณะที่น้ำอัดลมก็มีดื่มบ้าง แต่นาน ๆ ที ส่วนของทอดนี่งดเด็ดขาดเลย
6. ไม่ว่าจะกินอะไรก็ตาม ให้นับจำนวนแคลอรีด้วย ซึ่ง 1 วันควรกินประมาณ 1,000-1,500 แคลอรี เพื่อความปลอดภัยของร่างกาย แต่ถ้ากินอาหารตามสั่งก็ให้กะเอาหรือลองหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยเฉพาะเวลาสั่งอาหาร ควรกำชับแม่ครัวด้วยว่าให้ใส่น้ำมันและข้าวน้อย ๆ ส่วนที่เป็นสินค้าก็ให้ดูข้อมูลทางโภชนาการเสมอ
7. สามารถกินบุฟเฟ่ต์ได้ แต่เน้นกินปลากับอาหารทะเล และที่สำคัญควรกินแต่พออิ่ม
8. เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกท้อแท้หรืออยากกินอาหารจานโปรด ให้นึกถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ซึ่งวิธีที่ผมใช้คือจะชั่งน้ำหนักเดือนละ 1 ครั้ง ถ้าเดือนไหนลดได้ตามเป้า ก็จะให้รางวัลตัวเองโดยการกินอาหารที่ชอบ 1 มื้อ ซึ่งในช่วง 15 วันแรก บอกเลยว่าเกือบทนไม่ไหว แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ คุณก็จะทรมานน้อยลง

1. เมนูไข่ เช่น ไข่ตุ๋น ไข่น้ำ และไข่ต้ม 2 ฟอง
2. เมนูต้ม ได้แก่ แกงจืดผักกาดขาวและน้ำซุปกับเนื้อปลาลวก ซึ่งผมไม่ใส่กระเทียมเจียวเนื่องจากมีน้ำมันเยอะ
3. เมนูผัดแบบไม่ใส่น้ำมัน มีทั้งผัดผักบรอกโคลีกุ้ง ผัดเห็ดออรินจิ และดอกกะหล่ำผัดหมู
4, เมนูย่าง คือ ปลาดอรี่ย่างและปลาแซลมอนย่างเทอริยากิ
5. ผลไม้ต่าง ๆ เช่น กล้วยน้ำว้า แอปเปิล แคนตาลูป และชมพู่
6. ส่วนพวกขนม ผมเลือกกินปลาเส้นและหมูแผ่น เพราะมีแคลอรีต่ำ แต่ก็นาน ๆ กินที และขอย้ำว่าควรดูข้อมูลทางโภชนาก่อนเลือกกินทุกครั้ง
7. สำหรับเครื่องดื่ม ส่วนใหญ่ผมจะดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก และมีดื่มช็อคโกแลตมอลต์บ้าง แต่ก็ไม่ใส่น้ำตาลเลย ส่วนคนที่ชอบดื่มกาแฟ ก็ควรฝืนตัวเองไม่ให้ใส่น้ำตาลด้วย
8. ส่วนอาหารที่ผมกินเวลาหิวระหว่างมื้อ ผมเลือกดื่มนมพร่องมันเนยหรือเครื่องดื่มที่มีวุ้นผสม

1. เพื่อน ๆ คนในครอบครัว และเจ้านาย มักชวนไปกินเลี้ยงประจำ ซึ่งผมก็ไปนะ แต่จะเลือกกินอาหารที่ไม่อ้วนเท่านั้น
2. ไม่มีคนทำกับข้าวให้ ไม่มีเวลาทำกินเอง แถมกินข้าวข้างนอกก็ไม่ถูกใจ เพราะร้านตามสั่งชอบใส่น้ำมันกับให้ข้าวเยอะเกินไป ผมเลยเลือกซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อแทน เช่น อกไก่ปรุงสำเร็จ ไข่ต้ม นม และไข่ตุ๋น เป็นต้น

สำหรับวิธีออกกำลังกายของผมก็ไม่มีอะไรมาก ผมจะเข้าฟิตเนสที่มหาวิทยาลัย สัปดาห์ละ 3-4 วัน โดยเริ่มจากเล่นเวทก่อนประมาณ 20 นาที จากนั้นจะวิ่งบนเครื่อง Elliptical ช่วงแรกนี่วิ่งแค่ 2 นาทีก็หน้ามืดแล้ว แต่ผมก็ฝืนวิ่งให้ได้ 10 นาที ตามมาด้วยการวิ่งบนลู่วิ่ง ซึ่งเหนื่อยมาก ๆ ทำเอาผมหายใจไม่ทันในวันแรกเลย แถมวิ่งได้แค่ 15 นาทีเท่านั้น เพราะทั้งเหนื่อยและกลัวเข่าพัง โดยเทคนิคที่ช่วยให้เหนื่อยน้อยลงคือการฟังเพลงระหว่างออกกำลัง พอผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ ผมเริ่มวิ่งได้เยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนสามารถวิ่งบนเครื่อง Elliptical ได้ 30 นาที และวิ่งบนลู่วิ่งในระดับที่เร็วขึ้นติดต่อกัน 40 นาที แต่ผมก็ทำได้เพียงเดือนเดียว เพราะขี้เกียจ แต่หันมาควบคุมอาหารด้วยการนับแคลอรีอย่างเดียวครับ





1. ช่วยให้เหนื่อยน้อยลงจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด เช่น ผมสามารถวิ่งมินิมาราธอนระยะทาง 10 กิโลเมตรได้โดยไม่หยุดเดินเลย ซึ่งผมภูมิใจมาก เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนวิ่งแค่ 5 นาที แทบจะเป็นลมแล้ว
2. ใส่เสื้อผ้าได้หลากหลายขึ้น จากเดิมที่เคยใส่แต่เสื้อยืดอย่างเดียว พอใส่เสื้อเชิ้ตก็กระดุมปริ
3. การออกกำลังกายช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น ซึ่งผมทำแล้วเห็นผลจริง ๆ

1. หลังจากที่ลดน้ำหนักจนพอใจแล้ว ผมต้องใช้เวลานานมากในการควบคุมอาหารเพื่อให้น้ำหนักคงที่ และจะค่อย ๆ กินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ร่างกายปรับตัวให้ได้ มิฉะนั้นอาจทำให้โยโย่ได้
2. พุงเหี่ยวมากครับ ซึ่งต้องไปผ่าตัด แต่ผมกลัว
3. เนื่องจากผมใช้วิธีควบคุมอาหารเป็นส่วนใหญ่และไม่ค่อยเล่นเวทมากเท่าไร จึงทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ผมเลยอยากแนะนำว่าให้คุมอาหารและเล่นเวทควบคู่กันไปด้วย
4. ที่หนักใจที่สุดคือ เหนียง เพราะไม่รู้ว่าจะเอาออกยังไง




สรุประยะเวลาทั้งหมดที่ผมใช้ในการลดความอ้วนไปประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่งลดแบบจริงจังในช่วง 4 เดือนแรก ทั้งนี้ขอขอบคุณครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่คอยช่วยเหลือระหว่างการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ ผมเป็นคนที่ต่อต้านยาลดความอ้วนต่าง ๆ ด้วย เพราะเป็นยาที่มีอันตรายและมีผลข้างเคียง ซึ่งวิธีที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ปลอดภัยก็มีแค่การควบคุมอาหารและออกกำลังกายเท่านั้น
เป็นอย่างไรบ้างกับประสบการณ์ลดน้ำหนักดี ๆ ของหนุ่มคนนี้ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยใช่ไหมละว่า เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจนดูผอมลงเยอะเลยทีเดียว ซึ่งก็หวังว่าเรื่องราวในวันนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังท้อได้มีแรงฮึดขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ภาพจาก สมาชิกหมายเลข 2829067