โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับ 8 โรคร้ายแรงที่หนุ่ม ๆ ติดได้จากการมีเซ็กส์แบบไม่ป้องกัน เซฟตัวเองก่อนกามโรคถามหา
โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศที่พบมากที่สุดในโลก ซึ่งโอกาสที่จะติดโรคนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยบางคนที่ติดเชื้อดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ ซึ่งอาการของโรคหนองในเทียมในเพศชายที่เห็นได้ชัดคือ รู้สึกเจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และอัณฑะบวม อย่างไรก็ดี แม้พบว่าอาการต่าง ๆ หายไปแล้ว ก็ควรรีบรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อโรคยังอยู่ในร่างกายและพร้อมจะกำเริบอยู่เสมอนั่นเอง
โรคหนองในแท้จะติดต่อกับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ Neisseria Gonorrhoea อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด โดยผู้ชายส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่บางคนจะมีอาการทันที เช่น รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ทั้งนี้ทั้งนั้น โรคหนองในแท้จะเกิดขึ้นพร้อมกับโรคหนองในเทียมเสมอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดพร้อมกันทั้งสองโรคได้
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ติดโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส โดยมากจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยในช่วงแรก แต่ในรายที่แสดงอาการ จะรู้สึกคันหรือแสบบริเวณอวัยวะเพศ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และทำให้เป็นโรคท่อปัสสาวะอักเสบด้วย
โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Viruses ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อย่างไรก็ดี ผู้ชายมักจะพบตุ่มใส ๆ ขึ้นมากมายบริเวณต่าง ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ก้น ถุงอัณฑะ ทวารหนัก ผิวหนังที่ขาอ่อน และภายในท่อปัสสาวะ รวมถึงโรคเริมที่ปากสามารถติดต่อด้วยการจูบได้ ทั้งนี้ โรคเริมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเชื้อของมันจะซ่อนในร่างกายและจะกำเริบขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อตัวนี้โดยตรง ซึ่งมีคนจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ติดเชื้อดังกล่าวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหูดที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผลหูดจะมีลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อนูนและตะปุ่มตะป่ำเกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว หรือจะปล่อยให้มันหายเองก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากเชื้อ Hepatitis B Virus ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางและสัมผัสเลือดหรือของเหลวกับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือ ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ และทำให้เป็นโรคดีซ่านได้
โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว
เมื่อทราบถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ข้างต้นกันไปแล้ว หนุ่ม ๆ คงรู้กันแล้วว่าอาการของแต่ละโรคนั้นร้ายแรงมากขนาดไหน ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์แล้วละก็ ควรป้องกันทุกครั้งด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : mensxp.com, medicalnewstoday.com
เมื่อพูดถึงโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเซ็กส์แล้ว โรคเอดส์ คงเป็นชื่อแรก ๆ
ที่หลายคนนึกถึง
ทว่าความจริงแล้วยังมีโรคติดต่อที่เกิดจากเซ็กส์อีกมากที่คุณอาจยังไม่รู้
ซึ่งเป็นอันตรายและติดต่อง่ายไม่แพ้เอดส์
โดยวันนี้กระปุกดอทคอมรวบข้อมูลกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาบอกให้หนุ่ม ๆ ได้ทราบกันแล้วครับ
1. โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศที่พบมากที่สุดในโลก ซึ่งโอกาสที่จะติดโรคนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยบางคนที่ติดเชื้อดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ ซึ่งอาการของโรคหนองในเทียมในเพศชายที่เห็นได้ชัดคือ รู้สึกเจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และอัณฑะบวม อย่างไรก็ดี แม้พบว่าอาการต่าง ๆ หายไปแล้ว ก็ควรรีบรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อโรคยังอยู่ในร่างกายและพร้อมจะกำเริบอยู่เสมอนั่นเอง
2. โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
โรคหนองในแท้จะติดต่อกับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ Neisseria Gonorrhoea อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด โดยผู้ชายส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่บางคนจะมีอาการทันที เช่น รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ทั้งนี้ทั้งนั้น โรคหนองในแท้จะเกิดขึ้นพร้อมกับโรคหนองในเทียมเสมอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดพร้อมกันทั้งสองโรคได้
3. โรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส (Trichomoniasis)
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ติดโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส โดยมากจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยในช่วงแรก แต่ในรายที่แสดงอาการ จะรู้สึกคันหรือแสบบริเวณอวัยวะเพศ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และทำให้เป็นโรคท่อปัสสาวะอักเสบด้วย
4. โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
เรียกได้ว่าเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus)
เป็นเชื้อที่น่ากลัวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั่นเอง
ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีก็คือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย นอนกับคนที่ไม่ใช่คู่ของตน และเที่ยวสถานบริการ
รวมถึงเด็กในครรภ์สามารถติดจากแม่ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วได้
โดยเชื้อดังกล่าวจะแสดงอาการระยะแรกหลังจากติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์
คือผู้ป่วยจะมีไข้สูงหรือรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่
แต่มันจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี
ที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ
ตามมามากมาย เช่น วัณโรค มะเร็ง และความจำเสื่อม เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยชะลออาการของโรคนี้ได้
5. โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes)
โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Viruses ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อย่างไรก็ดี ผู้ชายมักจะพบตุ่มใส ๆ ขึ้นมากมายบริเวณต่าง ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ก้น ถุงอัณฑะ ทวารหนัก ผิวหนังที่ขาอ่อน และภายในท่อปัสสาวะ รวมถึงโรคเริมที่ปากสามารถติดต่อด้วยการจูบได้ ทั้งนี้ โรคเริมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเชื้อของมันจะซ่อนในร่างกายและจะกำเริบขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
6. โรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Warts)
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อตัวนี้โดยตรง ซึ่งมีคนจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ติดเชื้อดังกล่าวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหูดที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผลหูดจะมีลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อนูนและตะปุ่มตะป่ำเกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว หรือจะปล่อยให้มันหายเองก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
7. โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)
โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากเชื้อ Hepatitis B Virus ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางและสัมผัสเลือดหรือของเหลวกับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือ ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ และทำให้เป็นโรคดีซ่านได้
8. โรคซิฟิลิส (Syphilis)
โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว
เมื่อทราบถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ข้างต้นกันไปแล้ว หนุ่ม ๆ คงรู้กันแล้วว่าอาการของแต่ละโรคนั้นร้ายแรงมากขนาดไหน ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์แล้วละก็ ควรป้องกันทุกครั้งด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : mensxp.com, medicalnewstoday.com