
ปัจจุบันร้านกาแฟผุดขึ้นพอ ๆ กับร้านสะดวกซื้อเลยทีเดียวหลายคนที่รู้สึกซึมกะทือในช่วงเช้าพอได้ดื่มกาแฟแก้วแรกของวัน อาการที่ว่าก็พลันมลายหายเป็นปลิดทิ้ง คนจำนวนไม่น้อยต้องเสียเงินค่ากาแฟบางวันมากกว่าค่าข้าวเสียอีก บ้างก็บ่นว่าทำไมกาแฟ ช่างแพงอะไรอย่างนี้ แต่คล้อยหลัง ก็เดินเข้าร้านกาแฟตามเคย
ความชอบกาแฟของแต่ละคน ก็มีความแตกต่างกันไป ทั้งในเรื่องรสชาติ กลิ่น บรรยากาศ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเบื้องหลังก็คือ สารคาเฟอีนในกาแฟ ซึ่งคาเฟอีนนั้นไม่ได้มีแค่ในกาแฟเท่านั้น ยังมีอยู่ในเครื่องดื่มสารพัดชนิด เช่น น้ำอัดลมเครื่องดื่มชูกำลัง ชา ชาเขียว เป็นต้น คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า นักกีฬาบางคน นอกจากดื่มกาแฟเพราะความชอบแล้ว อาจดื่มเพื่อหวังผลในการกระตุ้นสมรรถภาพทางกายเพื่อการแข่งขันกีฬาอีกด้วย




การดื่มกาแฟมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการใจสั่นอันเป็นผลจากการที่คาเฟอีนไปกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงและเร็วมากขึ้น และยังทำให้ความดันโลหิตสูงมาก นอกจากนี้การดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้สูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงซึ่งมีความเสี่ยงอยู่แล้ว จากการขาดฮอร์โมนหลังหมดประจำเดือน หรือการผ่าตัดเอารังไข่ออก
การได้รับคาเฟอีนในระดับสูงยังอาจทำให้เกิดอาการหงุดหงิด วิตกกังวล ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเสีย รวมไปถึงอาจรบกวนการนอนคือ ทำให้นอนไม่หลับ จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน


ในอดีตคาเฟอีนจัดอยู่ในประเภทของสารต้องห้ามทางการกีฬา หรือเรียกง่าย ๆ ว่า โด๊ป แต่ทางวาดา (WADA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาได้ตัดคาเฟอีนออกจากรายการสารต้องห้ามตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 แต่ก็ยังอยู่ในประเภทสารที่ยังติดตามปริมาณการใช้ กล่าวคือ การตรวจโด๊ปในปัสสาวะของนักกีฬามีการวัดปริมาณของคาเฟอีนด้วย เพื่อดูพฤติกรรมการใช้คาเฟอีนของนักกีฬา แต่การตรวจพบก็ไม่ถือว่าเป็นการโด๊ป


จุดขายของคาเฟอีนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อ โดยเพิ่มการเผาผลาญไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน และช่วยลดการใช้พลังงานจากสารไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ (Glycogen Sparing Effect) ซึ่งในนักกีฬาก็อาจหวังผลว่าจะช่วยให้เล่นกีฬาได้นานมากขึ้น ในคนที่หวังผลเรื่องลดความอ้วนก็อาจได้อานิสงส์ในประเด็นนี้ไปด้วย แต่ต้องออกกำลังกายด้วยนะ ถึงจะมีการเผาผลาญไขมัน ไม่ใช่ดื่มกาแฟแล้วไปกินข้าวอีกหลายจาน ต่อด้วยการนอน อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของร่างกายของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน และต้องไม่ลืมว่าการดื่มมากเกินไปอาจเกิดผลเสียกับสุขภาพได้


สูตรการใช้คาเฟอีนสำหรับนักกีฬาที่มีการใช้ต่อกันมาคือ ให้บริโภคคาเฟอีน 1 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยถ้าจะให้ได้ผลมากขึ้นควรงดการบริโภคคาเฟอีนก่อนหน้านี้เป็นเวลา 1-2 วัน ส่วนปริมาณที่ใช้นั้นในอดีตมักใช้ค่อนข้างสูง คือ 6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่าปริมาณการใช้แค่ 1-3 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมก็น่าจะพอเพียงแล้ว อีกทั้งยังลดความเสี่ยงต่อผลเสียของการได้รับคาเฟอีนมากเกินไป ส่วนการอดคาเฟอีนก่อนหน้านั้น 1-2 วัน ก็อาจไม่จำเป็น เพราะน่าจะเป็นผลทางจิตใจมากกว่า นอกจากนี้ในนักกีฬาอาจรู้สึกหงุดหงิดในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากการที่ไม่ได้บริโภคเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ
สำหรับนักกีฬามีอีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงก็คือ การดื่มกาแฟจะทำให้มีการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งก็อาจจะใช่สำหรับคนที่ไม่เคยดื่มกาแฟมาก่อนแล้วเพิ่งมาดื่มตอนจะแข่ง แต่สำหรับคนที่ดื่มเป็นประจำอาจไม่มีผลเสียในส่วนนี้เท่าไรนัก เพราะร่างกายปรับตัวได้อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าคิดจะดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนก็ควรใช้ปริมาณเดียวกันตั้งแต่ฝึกซ้อมเพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย
สรุปว่า...ถ้าคุณชอบก็ดื่มไปเถอะครับ แต่อย่าเยอะ สำหรับนักกีฬา ถ้าใครมีความรักความชอบในกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน ก็สามารถมีความสุขกับการดื่มได้โดยไม่ถือว่าเป็นการโด๊ปส่วนผลที่จะช่วยให้เล่นกีฬาได้ดีมากขึ้นนั้นคงแล้วแต่การตอบสนองของแต่ละคน และประเภทของกีฬาที่เล่น แต่อย่าลืมว่าควรบริโภคในขนาดที่เหมาะสมด้วยนะครับ
ที่มา หนังสือMen\'s Health มีนาคม 2557