วิวัฒนาการ iPhone พาย้อนตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ใครอยากรู้ว่า iPhone แต่ละรุ่นมีนวัตกรรมอะไรใหม่ ๆ บ้าง มาดูกันเลย
iPhone (ไอโฟน) เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีว่ามันคือโทรศัพท์มือถือของแอปเปิลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพลิกโฉมวงการมือถือ โดยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ iPhone รุ่นแรก ๆ คือเป็นโทรศัพท์มือถือแบบไร้ปุ่มกด แต่จะมีเพียงปุ่มเดียวคือปุ่ม Home ส่วนการใช้งานจะสั่งการทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสแบบมัลติทัชบนระบบปฏิบัติการที่แอปเปิลพัฒนาขึ้นมาเอง เรียกว่า
iOS ซึ่งถือว่าเป็นตัวผลักดันเทรนด์โลกให้เข้าสู่ยุคสมาร์ตโฟน จนทำให้ iPhone ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ iPhone รุ่นแรก เปิดตัวโดย สตีฟ จ็อบส์ ในงานแมคเวิลด์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2550 และวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ซึ่งปัจจุบันไอโฟนถูกผลิตออกมาและวางจำหน่ายไปแล้วมากมายถึงหลักสิบรุ่นนับตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน และในวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปรู้จักกับวิวัฒนาการของไอโฟนแต่ละรุ่นกันว่ามีความโดดเด่นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย
iPhone (2G)
บริษัทแอปเปิล ภายใต้การนำของสตีฟ จ็อบส์ ได้พลิกโฉมและสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการมือถือ เมื่อสตีฟ จ็อบส์ เผยโฉมโทรศัพท์มือถือตัวแรกของแอปเปิล นามว่า "ไอโฟน" ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความสามารถของไอโฟนรุ่นแรก คือ ใช้เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งเอสเอ็มเอส ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านทางซอฟต์แวร์ซาฟารี ค้นหาแผนที่ ฟังเพลง เชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 2.5G quad band GSM และ EDGE, Wi-Fi (802.11b/g) บลูทูธ 2.0 และกล้องถ่ายภาพ 2 ล้านพิกเซล ใช้ซีพียู 412 MHz ARM 11 หน่วยความจำภายใน 4GB/8GB/16GB มีหน้าจอ Capacitive 3.5 นิ้ว ความละเอียด 320x480 pixel ส่วนตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม พลาสติก และกระจก
iPhone 3G
iPhone 3G มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ มีความโค้งมนมากขึ้น ด้านหลังตัวเครื่องถูกเปลี่ยนเป็นสีดำล้วน มีความเงางาม และใช้วัสดุเป็นพลาสติกกับกระจก สำหรับ iPhone 3G ถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ในงาน WWDC 2008 สำหรับความโดดเด่นของรุ่นนี้ถือว่าถูกพัฒนาไปไกลและดีขึ้นกว่าเดิม โดยรองรับการทำงานบนเครือข่าย 3G ด้านสเปกเหมือนกับ iPhone 2G แต่เพิ่มแรม 128MB ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ส่วนหน่วยความจำลดเหลือ 8GB/16GB รวมถึงความสามารถในการใช้งานที่หลากหลายขึ้น และที่สำคัญ iPhone 3G มาพร้อมกับ App Store ที่สามารถโหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้นั่นเอง ส่วนตัวเครื่องมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว
iPhone 3GS
iPhone 3GS ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นอีกรุ่นที่ได้กลายเป็นของสะสมของสาวกแอปเปิลหลาย ๆ คน สำหรับ iPhone 3GS เปิดตัวเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ที่งาน WWDC 2009 ด้านดีไซน์ของ iPhone 3GS ยังคงเหมือนกับ 2 รุ่นแรก เน้นความโค้งมนของขอบตัวเครื่อง ด้านสเปกถูกอัปเดตให้แรงขึ้นกว่าเดิม ใช้ซีพียู Cortex-A8 600MHz แรม 256MB เพิ่มความละเอียดกล้องถ่ายภาพ 3.2 ล้านพิกเซล พร้อมออโต้โฟกัส ใช้นิ้วแตะเพื่อหาจุดโฟกัส ถ่ายวิดีโอได้ หน่วยความจำภายใน 8GB/16GB/32GB รวมถึงรองรับ 3G ความเร็วสูงสุด 7.2 Mbps และแอปพลิเคชันพื้นฐานมากขึ้น เช่น Voice Control (สั่งงานด้วยเสียง)
iPhone 4
แอปเปิลกลับมาสร้างความฮือฮาให้กับแฟน ๆ อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว iPhone 4 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDDC 2010 มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่แบบยกเครื่องทั้งหมด ใช้วัสดุหุ้มขอบด้วยสเตนเลสสตีลไร้ฉนวน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศของเครื่อง ตัวเครื่องจะอยู่กึ่งกลางระหว่างกระจกอะลูมิโนซิลิเกตชนิดพิเศษที่เพิ่มความแข็งแรงวางไว้ 2 ด้าน หน้า-หลัง ส่วนสเปกต่าง ๆ ถูกอัปเกรดให้แรงขึ้นกว่าเดิม ด้านหน้าจอขนาดเท่าเดิม 3.5 นิ้ว แต่เพิ่มความละเอียดเป็น 960×640 พิกเซล เรียกหน้าจอแบบใหม่นี้ว่า Retina Display จุดเด่นที่น่าสนใจของ iPhone 4 มาพร้อมกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน FaceTime หรือวิดีโอคอลผ่าน Wi-Fi คุยกันแบบเห็นหน้า และ iPhone 4 เป็นอีกรุ่นที่ขายดีมาก ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นฮิตกันถล่มทลาย
iPhone 4S
หลังยุคของการจากไปของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้นำคนสำคัญของแอปเปิล ดูเหมือนทิศทางของแอปเปิลจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเอาใจแฟน ๆ ทำให้การเปิดตัว iPhone 4S ถูกวิพากษ์วิจารณ์และส่งผลให้หุ้นของแอปเปิลตก iPhone 4S เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในงาน Let’s talk iPhone ที่สำนักงานใหญ่แอปเปิล และการมาของ iPhone 4S ทำให้เหล่าสาวกของแอปเปิลที่คาดหวังจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน เมื่อหน้าตาของ iPhone 4S เหมือนกับ iPhone 4 จุดเด่นของ iPhone 4S มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 5 และ iCloud กล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และฟีเจอร์ใหม่ Siri ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่เปรียบได้กับผู้ช่วยที่ทำหน้าที่ในการค้นหาและให้ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ และจุดนี้เองที่ทำให้ iPhone 4S แตกต่างจาก iPhone 4
iPhone 5
iPhone 5 เป็นอีกรุ่นที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ แต่ก็ยังไร้นวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ดี โดย iPhone 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555 ความโดดเด่นของ iPhone 5 นั้น ดีไซน์ตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์คล้ายกับ iPhone 4/4S แต่แอปเปิลได้เปลี่ยนวัสดุใหม่เป็นอะลูมิเนียมและกระจก ส่งผลให้ iPhone 5 มีความบางของตัวเครื่องเพียง 7.6 มิลลิเมตร (บางกว่า iPhone 4S ถึง 18%) และมีน้ำหนักเพียง 112 กรัม ทำให้เบากว่าเดิมถึง 20% ด้านหลังตัวเครื่องใช้สีแบบทูโทน ส่วนหน้าจอถูกปรับขนาดเป็น 4 นิ้ว ความละเอียด 1,136x640 พิกเซล ความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น เปลี่ยนจากพอร์ต 30-pin เป็นพอร์ต Lightning, รองรับ 4G LTE, หูฟังแบบใหม่ Earpods, Nano-SIM และกล้องด้านหน้า 1.2 ล้านพิกเซล
iPhone 5S
iPhone 5C
จากข่าวลือและภาพหลุดตลอดระยะเวลาหลายเดือนเกี่ยวกับ iPhone รุ่นราคาถูก ดูเหมือนจะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากสาวกแอปเปิลทั่วทุกมุมโลก ซึ่งทางแอปเปิลก็ได้ออกมาปฏิเสธว่าจะไม่ทำ iPhone รุ่นราคาถูก แต่เปิดตัว iPhone 5C เพื่อวางขายแทน iPhone 5 โดยตัวเครื่องของ iPhone 5C ใช้วัสดุเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตเคลือบหนาทั้งชิ้น ไร้รอยต่อ มาพร้อม 5 สีสันสดใส ได้แก่ สีขาว สีเขียว สีฟ้า สีชมพู และสีเหลือง
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 แอปเปิลเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมหน้าจอ Retina HD display ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ ตัวเครื่องมีความโค้งมนและบางกว่า iPhone ทุกรุ่น รวมถึงอัปเกรดสเปกใหม่ ใช้ชิป Apple A8 แบบ 64-Bit ตัวแรกของโลก มีกล้อง 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบทูโทน และระบบสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) รองรับ NFC จ่ายเงินผ่านมือถือด้วยบริการ Apple Pay บวกกับแบตเตอรี่ที่อึดกว่าเดิม สแตนด์บายได้นาน 16 วัน สำหรับ iPhone 6 Plus และ 10 วัน สำหรับ iPhone 6
iPhone 6S และ iPhone 6S Plus
ในวันที่ 9 กันยายน 2558 แอปเปิลเปิดตัว iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ที่มาพร้อมดีไซน์เหมือนเดิม แต่ด้านสเปกถูกอัปเกรดใหม่ให้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะหน้าจอแบบใหม่ที่แอปเปิลเรียกว่า "3D Touch" สามารถแยกน้ำหนักการสัมผัสได้ ทำให้สั่งการทำงานเพื่อไปยังฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้หลากหลายขึ้น พร้อมอัปเกรดกล้องหลังเป็น 12 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล รับกระแสการถ่ายภาพ Selfie
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 แอปเปิลบอกว่าเป็น iPhone ที่ดีที่สุดอีกรุ่นที่เคยผลิตมา มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ที่ปรับปรุงมาจากรุ่นก่อน และได้ซ่อนแถบเสาอากาศด้านหลังออกไป ทำให้ดูสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเพิ่มสีตัวเครื่องใหม่อีก 2 สี ได้แก่ สีดำเงา (Jet Black) จะมีเฉพาะรุ่นความจุ 128GB และ 256GB ส่วนอีกสีคือ สีดำด้าน (Black) รวมถึงสีเดิมอีก 3 สี คือ สีเทา สีทอง และสีทองชมพู (Rose Gold) รวมแล้วมีให้เลือก 5 สี
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 แอปเปิลเปิดตัว iPhone 8 และ
iPhone 8 Plus สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2017 ของแอปเปิล
โดยงานจัดขึ้นที่หอประชุม Steve Jobs Theater ที่ Apple Park
สำนักงานใหม่ของแอปเปิลในแคลิฟอร์เนีย พร้อมเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานมากมาย
ภายในงานแอปเปิลได้เปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายชิ้น เช่น Apple Watch Series 3
รุ่นใหม่, Apple TV 4K และ iPhone X เป็นต้น สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8
Plus เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่อัปเกรดและปรับปรุงมาจาก iPhone 7 และ iPhone
7 Plus โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่แอปเปิลไม่ได้ออก iPhone รุ่น S มาวางจำหน่าย แต่แทนที่ด้วยเลขรุ่นใหม่แทน
นอกจากแอปเปิลจะเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
แล้ว แอปเปิลยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟน ๆ ด้วยประโยคเด็ด "One more
thing..." ด้วยการเปิดตัว iPhone X (อ่านว่า ไอโฟนเท็น) สมาร์ตโฟนรุ่นพิเศษ
พร้อมสโลแกน "Say hello to the future. (สวัสดีอนาคต)" แน่นอนว่า iPhone
รุ่นนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตใหม่ของสมาร์ตโฟนที่จะพัฒนาในอนาคตตามที่แอปเปิลได้กล่าวไว้
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 แอปเปิลเปิดตัว iPhone XS (ไอโฟนเท็น เอส) และ iPhone XS Max (ไอโฟนเท็น เอส แม็กซ์) สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2018 ของแอปเปิล โดยงานจัดขึ้นที่หอประชุม
Steve Jobs Theater ที่ Apple Park สำนักงานใหม่ของแอปเปิลในแคลิฟอร์เนีย
พร้อมเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานมากมาย
ภายในงานแอปเปิลได้เปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายชิ้น เช่น Apple Watch Series 4
รุ่นใหม่ และ iPhone XR สมาร์ตโฟนที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี สำหรับ iPhone
XS และ iPhone XS Max เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่อัปเกรดและปรับปรุงมาจาก
iPhone X นั่นเอง โดยรุ่นนี้เน้นไปที่การอัปเกรดสเปก
เพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานได้ดีกว่าเดิมตามสไตล์แอปเปิล
นอกจากแอปเปิลจะเปิดตัว iPhone XS และ iPhone XS Max แล้ว ภายในงานแอปเปิลยังเปิดตัว iPhone XR (ไอโฟนเท็น อาร์) เพิ่มมาอีกรุ่น
ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ก็ตรงตามข่าวลือที่หลุดออกมาเกือบทุกประการ
โดยรุ่นนี้จะเรียกว่าเป็นรุ่นที่มีราคาถูกที่สุดเลยก็ว่าได้ มาพร้อมหน้าจอ
6.1 นิ้ว หน้าจอแบบ LCD (326ppi) แอปเปิลเรียกหน้าจอนี้ว่า Liquid Retina
HD เคลมว่าเป็นหน้าจอ LCD ที่ดีที่สุด ใช้ซีพียู A12 Bionic
ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 2,
กล้องหลังตัวเดียว 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพบุคคล
(Portrait) โดยใช้กล้องเลนส์เดี่ยว, ตัวเครื่องใช้วัสดุกรอบอะลูมิเนียม
ด้านหลังเป็นกระจก มีให้เลือกถึง 6 สี, มี Face ID,
กันน้ำ-กันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 และแบตเตอรี่ที่เคลมว่าใช้งานได้นานกว่า
iPhone 8 Plus ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 แอปเปิลเปิดตัว iPhone 11
สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2019 ของแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่อัปเกรดจาก
iPhone XR โดยยังใช้ดีไซน์หน้าจอมีรอยบากเหมือน iPhone X/XS
และใช้วัสดุรีไซเคิลแบบ 100% รวมถึงสีสันที่สดใสกว่าเดิม
โดยมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีม่วง สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีดำ
และสีแดง
นอกจากนี้ยังปรับกล้องหลังเป็นกล้องคู่ที่เรียงอยู่ในกรอบมุมซ้ายบนตัวเครื่อง
เรียกได้ว่าตรงตามภาพหลุดเกือบทุกอย่าง
นอกจากนี้ในวันเดียวกับ iPhone
11 แอปเปิลก็ยังได้เปิดตัว iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
มือถือสเปกระดับเรือธงที่มีสโลแกนว่า "กล้องก็โปร จอภาพก็โปร
ประสิทธิภาพก็โปร" เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่อัปเกรดและปรับปรุงมาจาก iPhone
XS นั่นเอง โดยรุ่นนี้เน้นไปที่การอัปเกรดสเปก คุณภาพของกล้องถ่ายภาพ
และเพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานได้ดีกว่าเดิมตามสไตล์แอปเปิล
เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 แอปเปิลเปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็น iPhone ราคาถูกรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมจอภาพ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว และ Touch ID บนปุ่มโฮม มีดีไซน์คล้ายกับ iPhone 8 แต่อัปเกรดสเปกให้แรงขึ้นด้วยชิป A13 Bionic ตัวเดียวกับใน iPhone 11 Pro ตัวเครื่องมีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ สีดำ สีขาว และสีแดง (PRODUCT)RED ด้านสเปกอื่น ๆ ของ iPhone SE 2020 ประกอบไปด้วยความจุ 64GB/128GB/256GB ส่วนกล้องหลังมีเลนส์เดียว 12MP และกล้องหน้า 7MP ปุ่มโฮมยังคงมี Touch ID สำหรับสแกนลายนิ้วมือเหมือนเดิม รวมทั้งยังคงใช้พอร์ต Lightning และไม่มีช่องหูฟัง โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาท เท่านั้น
iPhone 12 และ iPhone 12 mini เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 โดยในปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีแบ่งออกเป็น 4 รุ่น โดย 2 รุ่นนี้จะเป็นรุ่นเล็ก ราคาถูก ที่มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic รองรับเทคโนโลยี 5G มีกล้องหลังคู่และกล้องหน้าคู่ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Smart Data mode ที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ ช่วยลดการใช้ดาต้า ความเร็ว ในเวลาที่ไม่จำเป็น แบบนาทีต่อนาที รวมทั้งมาพร้อมกับระบบ MagSafe และมีตัวเครื่องให้เลือกหลากหลายสีสัน
iPhone 12 Pro / iPhone 12 Pro Max
รุ่นระดับ Pro ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 12 และ iPhone 12 mini ซึ่งจะมีหน้าจอขนาดใหญ่กว่าและความละเอียดสูงกว่า กล้องหลังมี 3 เลนส์ 12MP พร้อมความจุสูงสุดที่มีให้เลือกถึง 512MP ส่วนสเปกด้านอื่น ๆ จะเหมือนกับรุ่นเล็กทุกประการ
iPhone 13 / iPhone 13 mini
iPhone 13 mini และ iPhone 13 เป็นรุ่นเล็กประจำปี 2021 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 โดยหน้าจอจะมีรอยบากที่เล็กลงกว่าเดิม เลนส์กล้องหลังคู่จะเปลี่ยนไปเรียงแบบแนวทแยงแทน ส่วนสเปกนั้นจะมาพร้อมชิปประมวลผลตัวใหม่อย่าง A15 Bionic รองรับ 5G หน้าจอเป็น Super Retina XDR OLED กล้องถูกอัปเกรดให้ดีกว่าเดิม ทั้งการรับแสง การซูม และอื่น ๆ นอกจากนี้แบตเตอรี่ก็จะอึดขึ้น ใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้า มีความจุให้เลือกสูงสุดที่ 512GB
iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max
อีก 2 รุ่นประจำปี 2021 ที่เปิดตัวมาพร้อมกันจะเป็นรุ่นใหญ่ มีสิ่งที่เหนือกว่ารุ่นเล็กก็คือ หน้าจอจะรองรับ ProMotion 120Hz มีรุ่นความจุสูงสุดถึง 1TB ส่วนกล้องหลังจะเป็น 3 เลนส์ เรียงเหมือนเดิม แต่มีขนาดเลนส์ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวเครื่องสีใหม่อย่างเซียร์ร่าบลูอีกด้วย
iPhone SE รุ่นปี 2022 เป็น iPhone ราคาประหยัด ที่ยังคงมีดีไซน์ตัวเครื่องเหมือน iPhone SE 2020 ทุกอย่าง เพิ่มเติมคืออัปเกรดสเปกส่วนต่าง ๆ ให้ดีกว่า iPhone SE รุ่นก่อนหน้า โดยจุดเด่นหลัก ๆ ประกอบไปด้วย ชิปประมวลผลตัวใหม่ A15 Bionic รวมทั้งรองรับสัญญาณ 5G กับอัปเกรดประสิทธิภาพกล้อง แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน เล่นวิดีโอได้ 15 ชม. ฟังเพลงได้ 50 ชม. มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15
iPhone 14 / iPhone 14 Plus
iPhone 14 Pro / iPhone 14 Pro Max
รุ่น Pro ประจำปี 2022 ที่มีการอัปเกรดชิปประมวลผลมาใช้ A16 Bionic มีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี ProMotion 120Hz ที่ทำให้แสดงภาพเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล และรอยบากแบบใหม่ดีไซน์ทรงแคปซูล ด้านกล้องหลังจะเป็น 3 เลนส์ ความละเอียดอัปเกรดมาเป็น 48MP ส่วนแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone 13 Pro และรันระบบปฏิบัติการ iOS 16
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : Apple