วิธีรักษาอาการอกหัก 5 ขั้นตอนฟื้นฟูหัวใจหลังโดนแฟนสาวหักอก อกหักทำไงดีให้กลับมาเดินหน้าต่อ เปิดใจให้คนใหม่ได้อีกครั้ง
วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม 5 วิธีรักษาอาการอกหัก ฟื้นฟูหลังโดนแฟนสาวหักอกมาให้หนุ่ม ๆ ที่กำลังเฮิร์ตได้ลองอ่านกันครับ...
1. ยอมรับว่าตัวเอง อกหัก
เข้าใจว่า การอกหัก เป็นเรื่องยากที่จะรับมือได้ในทันที แต่การโกหกตัวเองต่อไปว่าความสัมพันธ์นั้นยังมีความหวังอยู่ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เมื่อถึงเวลาควรเปิดใจและยอมรับความจริงให้ได้ มันไม่ใช่ความสิ้นหวังหรือการพ่ายแพ้ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเข้มแข็งและก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ได้เร็วที่สุด
2. หลังอกหัก ให้ตัดขาดจากอดีตทันที
สิ่งที่จะฉุดรั้งให้คุณกลับไปจมปลักกับความเสียใจอีกครั้งก็คือ อดีต ! ทางที่ดีพยายามตัดขาดหรือปิดช่องทางติดต่อกับอดีตแฟนสาวให้หมดซะ อาจจะอันฟอลโลทุกอย่างในโลกโซเชียลออก ลบเบอร์โทรศัพท์ทิ้งจะได้ไม่เผลอกดเวลาฟุ้งซ่าน หลีกเลี่ยงการเจอหน้า และห้ามไปในสถานที่ที่เคยไปด้วยกันบ่อย ๆ รอจนกว่าจะมั่นใจว่าแฟนเก่าไม่มีผลต่อหัวใจแล้ว หลังจากนั้นค่อยกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ก็ยังไม่สาย
3. ท่องไว้ ถึงอกหัก แต่ยังมีคนที่รักเราอยู่
4. อกหัก ให้รีบกลับมารักตัวเอง
เคยสงสัยไหม ทำไมหลังอกหักจะมีคนรอบข้างเข้ามาทักว่าช่วงนี้ดูโทรม ๆ อกหักมาเหรอ และพวกเขารู้ได้อย่างไร ? ว่ากันง่าย ๆ เลยคือ การอกหัก สร้างผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจ ทำให้เกิดภาวะเครียด คิดมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นเหตุให้ร่างกายทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเสียใจนานเท่าไหร่ สุขภาพยิ่งแย่ลงเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทำใจได้ให้รีบกลับมาดูแลสุขภาพตัวเองทันที ด้วยการออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และกินอาหารที่มีประโยชน์ หน้าตาจะได้กลับมาสดใสพร้อมเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
5. เปิดใจอีกครั้ง เมื่อหายดีจากอาการอกหัก
อาจใช้เวลาทบทวนตัวเองนานหน่อย แต่เมื่อไหร่ที่คุณพร้อมอยากให้ลองกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง พบปะเพื่อนฝูง ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานอดิเรก และเปิดใจศึกษาดูใจกับใครสักคน เมื่อเจอคนที่ใช่ก็ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ การได้พบเจอหรืออยู่กับคนดี ๆ จะช่วยให้คุณฟื้นฟูสภาพจิตใจและก้าวต่อได้เร็วขึ้น
สำหรับเพื่อน ๆ ที่เพิ่งผ่านช่วงอกหักมาหรือมีอาการเฮิร์ตกำเริบ อยากให้ลองนำ 5 ข้อนี้มาทำความเข้าใจและปรับในชีวิตประจำวันกันดูครับ เชื่อว่าอาการอกหักจะต้องดีขึ้นตามลำดับแน่นอน และอย่าลืมกลับมาดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : wikihow.com, psychcentral.com