x close

วิวัฒนาการของจอยเกม ตั้งแต่ยุคที่เกมเมอร์หลายคนยังเกิดไม่ทัน

          พาย้อนอดีตไปชมวิวัฒนาการของจอยเกม ตั้งแต่ยุคที่แม้แต่เด็กยุค 90s หลายคนยังเกิดไม่ทัน

          กว่าจะมาถึงยุคปัจจุบันที่จอยเกมมีปุ่มมากกว่า 10 ปุ่ม พร้อมอนาล็อกอีกสองข้างนั้นก็มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ มาตลอดหลายสิบปี ตั้งแต่ยุคสมัยที่ยังมีน้อยปุ่ม พัฒนาให้มีปุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดีไซน์ทันสมัยจับกระชับมือขึ้น สามารถควบคุมเกมได้หลากหลายกว่าเดิม วันนี้เราก็เลยจะพาย้อนอดีตไปดูกันว่าตั้งแต่ยุคสมัยที่เครื่องเกมคอนโซลได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ จอยเกมมีวิวัฒนาการมาจนถึงยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง

          ในยุคบุกเบิกนั้นจอยเกมส่วนใหญ่จะมีกันแค่ปุ่มเดียว ตัวเกมก็มักจะไม่ค่อยมีลูกเล่นหวือหวาอะไร ที่เด่น ๆ ก็มีของเครื่อง Atari 2600 ในปี 1977 ที่เป็นแท่นคันโยก เรียกว่า Joystick สำหรับควบคุมทิศทาง พร้อมปุ่มหลักอีก 1 ปุ่มสำหรับสั่งการ

          ถัดมาก็เป็นยุคที่เด็กยุค 90s หลายคนน่าจะเกิดทัน ก็คือยุคเกม 8-bit อย่าง Famicom หรือ NES ที่จอยเกมพัฒนาให้มีปุ่มมากขึ้น ประกอบไปด้วยปุ่มบังคับทิศทางเครื่องหมาย + ที่เรียกกันว่า D-pad และปุ่มหลักอีก 2 ปุ่ม (A/B) นอกจากนี้ก็ยังมีปุ่ม Start สำหรับใช้หยุดเกมกับปุ่ม Select สำหรับไว้เลือกเมนู

          หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ยุคเกม 16-bit ค่าย Sega ก็ออกเครื่องเกม Mega Drive (ในฝั่งตะวันตกชื่อ Genesis) มา โดยตัวจอยถูกออกแบบมาให้จับได้ถนัดมือ พร้อมปุ่มหลักเป็น 3 ปุ่ม (A/B/C) แต่ไม่มีปุ่ม Select อย่าง Famicom โดยหลังจากนั้นไม่กี่ปี Sega ก็ออก Mega Drive 2 ที่เพิ่มปุ่มหลักมาอีก 3 ปุ่ม (X/Y/Z) รวมเป็น 6 ปุ่ม

          และในยุคเดียวกัน นอกจาก Mega Drive แล้ว ก็ยังมี Super Famicom (SNES) ซึ่งฝั่ง Nintendo นี้มีรูปแบบปุ่มไปคนละทิศทางกับของ Sega โดยจอยของ Super Famicom จะเพิ่มปุ่มหลักมาเป็น 4 ปุ่ม (A/B/X/Y) พร้อมปุ่ม Trigger อีก 2 ปุ่มด้านบนสำหรับใช้นิ้วชี้กด (L/R)

          เมื่อเข้าสุ่ยุคเกมที่มีกราฟิกแบบ 3 มิติ การควบคุมจึงมีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น Sony จึงออกแบบจอย PlayStation ให้มีปุ่ม Trigger ถึง 3 ปุ่ม (L1/R1/L2/R2) ส่วนปุ่มหลักนั้นยังคงมี 4 ปุ่มและกลายเป็นมาตรฐานจนถึงทุกวันนี้ แต่ปุ่มของ PlayStation จะใช้เป็นสัญลักษณ์เรขาคณิตแทนตัวอักษร A/B/X/Y ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเครื่องเกมค่ายอื่น ๆ และหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีจอยรุ่น DualShock ออกตามมา เป็นจอยที่สั่นได้ พร้อมก้านอนาล็อกอีกสองข้างซึ่งเหมาะสำหรับใช้ควบคุมเกมแบบ 3 มิติ

          ในยุคเดียวกันนั้นฝั่ง Nintendo ได้ออกเครื่อง Nintendo 64 ที่มีจอยสุดแปลกแหวกแนว คือมี 3 ขา โดยที่ขากลางจะมีอนาล็อกอันเดียว ส่วนปุ่มหลักจะลดเหลือแค่ 2 ปุ่ม (A/B) แต่จะมีปุ่มสีเหลืองอีก 4 ปุ่มเรียกรวม ๆ ว่าปุ่ม C ที่ใช้เป็นปุ่มทิศทาง เสมือนเป็นกึ่ง ๆ อนาล็อกอันที่สองนั่นเอง

          ในยุคถัดมานั้นเครื่อง Dreamcast ของ Sega ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาในจอยคือช่องใส่ Visual Memory Unit ที่นอกจากจะเอาไว้เซฟเกมแล้ว ยังมีหน้าจอเล็ก ๆ ที่สามารถใช้แสดงข้อมูลย่อย ๆ ของเกม หรือใช้เล่นมินาเกมต่าง ๆ ได้

          ส่วนทางฝั่ง Gamecube ของ Nintendo นั้นปุ่มหลักบนจอยทั้ง 4 ปุ่มถูกจัดวางใหม่ ดูแปลกไม่เหมือนใคร รวมทั้งเพิ่มปุ่ม Z เป็นTrigger ด้านขวาอีกหนึ่งปุ่ม ทำให้มี Trigger ทั้งหมด 3 ปุ่ม ส่วนปุ่ม C นั้นเป็นก้านอนาล็อกขวา โดยหลังจากผ่านไปไม่กี่ปีก็มีจอย Wavebird ที่เป็นรุ่นไร้สายออกตามมา

          ในยุค PlayStation 3 และ Xbox 360 นั้นดีไซน์และการจัดวางปุ่มบนจอยจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเนื่องจากค่อนข้างลงตัวแล้ว แต่หลัก ๆ ที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นปุ่มกลางจอยที่เอาไว้กดเปิดเมนูเครื่อง เสมือนเป็นปุ่ม Home และใช้จอยแบบไร้สายเป็นมาตรฐาน

          แต่ในยุคเดียวกันนั้น Nintendo มาแปลกกว่าเดิม ด้วยการออกเครื่อง Wii ที่ใช้จอยเป็นรีโมต เน้นการควบคุมเกมด้วยฟังก์ชั่น Motion ก็คือการแกว่งรีโมตไปมา บวกกับจอย Nunchuck อีกข้างสำหรับใช้แทนอนาล็อกซ้าย

          ถัดมาก็เป็นเครื่อง Wii U ที่ Nintendo ออกแบบจอยให้มีรูปร่างคล้ายแท็บเล็ต มีหน้าจอทัชสกรีนกลางจอยสำหรับแสดงข้อมูลในเกมหรือพกเกมไปเล่นในห้องอื่น ๆ ของบ้านได้ นอกจากนี้ที่จอยก็ยังมีกล้องและไมโครโฟนในตัวอีกด้วย

          ส่วน PlayStation 4 ในยุคล่าสุดนั้นมีการปรับดีไซน์จอยเล็กน้อย พร้อมทั้งเพิ่ม Touchpad กลางจอยสำหรับใช้นิ้วลาก เอาไว้เป็นลูกเล่นเสริมรวมทั้งใช้แทนปุ่ม Select ในบางเกม นอกจากนี้ยังเป็นปุ่ม Start เป็นปุ่ม Option ส่วนปุ่ม Select ถูกตัดทิ้งและใส่ปุ่ม Share เข้าไปแทน เอาไว้กดเพื่อแคปหน้าจอหรือเซฟคลิปวิดีโอขณะเล่นเกม และบริเวณกลางจอยยังมีลำโพงเล็ก ๆ สำหรับเสียงเอฟเฟกต์ในเกมต่าง ๆ

          และสุดท้าย Nintendo Switch เครื่องเกมรุ่นล่าสุดของ Nintendo ก็มาเป็นจอยแบบติดด้านข้างหน้าจอ ซึ่งเป็นเครื่องแบบกึ่งพกพา ตัวจอยทั้งสองข้างสามารถถอดแยกออกมาเป็นจอยเล็กสำหรับแบ่งกันเล่นคนละข้างได้ โดย D-pad ของจอยข้างซ้ายจะทำเป็นแบบ 4 ปุ่มแทนเพื่อให้สามารถใช้เป็นปุ่มหลักได้เมื่อถอดแยกจอยไว้เล่นสองคน
ภาพและข้อมูลจาก extremetech
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วิวัฒนาการของจอยเกม ตั้งแต่ยุคที่เกมเมอร์หลายคนยังเกิดไม่ทัน อัปเดตล่าสุด 18 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 15:50:27 9,050 อ่าน
TOP