อินเทอร์เน็ต Wi-Fi ช้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มาลองดูสาเหตุต่าง ๆ พร้อมทั้งวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นกันเลย
ใครที่ใช้อินเทอร์เน็ต Wi-Fi บ่อย ๆ อาจจะเคยเจอปัญหาเน็ตช้า อืด เปิดเว็บอะไรก็ไม่ค่อยขึ้น เล่นเกมก็แลคบ้างหลุดบ้าง มันเป็นเพราะอะไรกันนะ แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหา Wi-Fi ช้ากัน จะได้เล่นเน็ตอย่างราบรื่นไม่ต้องหัวร้อนอีก
วิธีแก้ปัญหา Wi-Fi ช้า
1. ลองเสียบสาย LAN เช็กดูก่อน
บางครั้งที่เน็ตช้าก็อาจไม่ได้เกิดจากปัญหา Wi-Fi เสมอไป แต่อาจเป็นเพราะอินเทอร์เน็ตมีปัญหาจากผู้ให้บริการเอง หรือปัญหาจากตัว Router ซึ่งสามารถตรวจสอบเองได้ด้วยการเสียบสาย LAN กับคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กดูว่าอินเทอร์เน็ตใช้ได้ปกติดีหรือไม่ ถ้าหากเสียบสาย LAN แล้วช้าเหมือนกันก็แปลว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ แนะนำให้ลองโทร. แจ้ง Call Center ของผู้ให้บริการเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าหากเสียบสาย LAN แล้วเน็ตลื่นปกติดีทุกอย่าง ก็แปลว่า Wi-Fi มีปัญหาซะแล้วล่ะ โดยสามารถเข้าไปเช็กความเร็วได้ที่เว็บไซต์ Speedtest
2. ถามคนอื่นดูว่าช้าเหมือนกันไหม
ลองถามคนอื่น ๆ ที่กำลังใช้ Wi-Fi ร่วมกันอยู่ว่ามีปัญหาอินเทอร์เน็ตช้าเหมือนกันหรือไม่ เพราะถ้าหากว่ามีแค่เราที่เจอปัญหา แต่คนอื่นสามารถใช้งานได้เร็วปกติ ก็เป็นไปได้ว่าโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ ตัวรับสัญญาณ Wi-Fi อาจมีปัญหา ซึ่งจำเป็นต้องส่งซ่อมกับศูนย์บริการของอุปกรณ์นั้น ๆ
3. เปลี่ยน Wi-Fi Channel
Wi-Fi 2.4GHz ที่ใช้กันแพร่หลายมานานนั้นจะมี Channel ให้เลือกทั้งหมด 13 Channel ซึ่งในพื้นที่ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เยอะก็อาจเกิดปัญหาสัญญาณชนกันจนอินเทอร์เน็ตช้า การเลือกเปลี่ยนไปใช้ Channel ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ หรืออาจหนีไปใช้ Wi-Fi 5GHz แทน ซึ่ง Router รุ่นใหม่ ๆ รวมทั้งอุปกรณ์มือถือหรือโน้ตบุ๊กในปัจจุบันส่วนใหญ่จะรองรับอยู่แล้ว ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบความหนาแน่นของแต่ละ Channel ได้ด้วยแอปฯ อย่าง Wi-Fi Analyser
4. ดูว่ามีคนใช้ Wi-Fi เยอะผิดปกติไหม
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ Wi-Fi ช้า อาจเกิดจากคนในบ้านหรือออฟฟิศใช้งานพร้อมกันหลายคนได้เช่นกัน ซึ่งอาจมีบางคนที่ใช้แบนด์วิดธ์เน็ตมากกว่าปกติ เช่น ดูวิดีโอสตรีมมิ่งหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้คนอื่นใช้ Wi-Fi ได้ช้าลง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากในหน้าตั้งค่า Router ว่าอุปกรณ์ใดที่ใช้แบนด์วิดธ์เน็ตมากผิดปกติ หรือมีคนอื่นมาแอบใช้ Wi-Fi หรือไม่ นอกจากนี้ในบางกรณีอาจเกิดจากไวรัสหรือมัลแวร์ที่มากินแบนด์วิดธ์เน็ตก็ได้เช่นกัน
5. ตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ที่เดายาก
เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบมาใช้ Wi-Fi ซึ่งอาจใช้แบนด์วิดธ์มากจนทำให้เน็ตช้า ก็ควรตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ที่เดายาก และอย่าบอกรหัสให้คนอื่นรู้ เพื่อไม่ให้ใครมาแอบขโมยใช้เน็ต Wi-Fi และถ้าเป็นไปได้ก็ควรตั้งรหัสผ่านสำหรับเข้าหน้าตั้งค่า Router ด้วยเช่นกัน
6. ย้ายตำแหน่งการวาง Router
ควรวาง Router ที่ทำหน้าที่ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
โดยควรตั้งให้อยู่กลางบ้าน ไม่มีกำแพงปูนหรือโลหะมาขวางกั้น
รวมทั้งไม่วางใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดที่มีคลื่นรบกวนสัญญาณ Wi-Fi
อย่างเช่น ไมโครเวฟ เป็นต้น นอกจากนี้การเปลี่ยนเสา Wi-Fi ของ Router
เป็นเสาที่มีกำลังส่งแรงกว่า ก็จะสามารถช่วยได้เช่นกัน
หรือไม่ก็อาจใช้วิธีขยายสัญญาณ Wi-FI ด้วย Router อีกตัว
หรืออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
7. อัปเดตเฟิร์มแวร์ Router
ความจริงแล้วการอัปเดตเฟิร์มแวร์ Router อาจไม่จำเป็นมากนักถ้าสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากอินเทอร์เน็ตมีปัญหาหรือ Wi-Fi ช้า ในบางครั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์ก็อาจช่วยแก้ปัญหาได้เช่นกัน เพราะเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นใหม่ ๆ อาจจะมีการแก้บั๊กหรือปัญหาจุกจิกของตัว Router ซึ่งอาจช่วยให้สัญญาณ Wi-Fi หรือการทำงานส่วนอื่น ๆ ดีขึ้นได้ แต่ก็ต้องใช้ความรู้ในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ Router อยู่บ้าง เพราะถ้าหากทำผิดพลาดอาจเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ ซึ่งถ้าไม่แน่ใจควรขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เชี่ยวชาญจะดีกว่า
8. ถ้า Router เก่าเกินไปก็ควรซื้อใหม่
Router เก่า ๆ ที่ใช้มานานหลายปีอาจเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้การปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ไม่ค่อยดี ซึ่งควรซื้อ Router ใหม่ หรือถ้ายังอยู่ในประกันก็อาจลองส่งเคลมได้ นอกจากนี้ Router รุ่นใหม่ ๆ ก็มักจะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเช่น Wi-Fi 6 ที่รองรับความเร็วได้สูงกว่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่มีช่องสำหรับเสียบสาย LAN เช่น
คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรือเครื่องเกมคอนโซล และอยู่ในระยะที่ไม่ห่างจาก
Router มากเกินไป สามารถนำสาย LAN มาเสียบได้
ก็จะทำให้ใช้อินเทอร์เน็ตได้เสถียรที่สุด เพราะการใช้เน็ตผ่านสาย LAN
นั้นจะไม่มีปัญหาจุกจิกใด ๆ อย่าง Wi-Fi เลยนั่นเอง