x close

ตุ่มที่อัณฑะ ภัยเล็ก ๆ ที่ผู้ชายทุกคนต้องพึงระวัง !

ตุ่มที่อัณฑะ

          ตุ่มที่อัณฑะ สามารถเกิดได้จากหลายโรค มาเช็กอาการพร้อมวิธีรักษาเบื้องต้นกันดีกว่า ก่อนที่มันจะรุกรามจนเป็นเรื่องใหญ่
          เชื่อว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่เจอปัญหามีตุ่มแปลก ๆ เกิดขึ้นที่อัณฑะ จนเกิดเป็นข้อสงสัยว่าตุ่มเหล่านั้นจะมีอันตรายหรือผลข้างเคียงที่น่ากลัวหรือเปล่า ครั้นจะให้ไปถามคนรอบข้างก็ดูไม่เหมาะ แถมทำให้รู้สึกเขินอายอีกด้วย กระปุกดอทคอมกลัวว่าอาการเหล่านั้นจะกำเริบหนัก จึงได้รวบรวมโรคที่ทำให้เกิด ตุ่มที่อัณฑะ พร้อมอาการและวิธีรักษามาให้เพื่อน ๆ ที่เจอปัญหาเหล่านี้ได้ลองอ่านกัน จะได้ทราบกันว่าเป็นโรคอะไร รักษายังไง แล้วอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์ ยังไงก็ลองมาเช็คกันดูก่อนครับ...

          - หูดข้าวสุก

          โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยและพบได้ในผู้ชายทุกวัย โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus หรือ เอ็มซีวี (MCV) ผ่านการสัมผัสผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัสโดยตรง ทางเพศสัมพันธ์ หรือทางสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งโรคนี้จะมีผลกับผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีการเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือดหรือระบบประสาทแต่อย่างใด และสามารถหายเองได้ในระยะเวลาประมาณ 2-12 เดือน

          ลักษณะของหูดข้าวสุก : จะเป็มตุ่มกลม ๆ สีเหลืองหรือสีเนื้อ ผิวเรียบเป็นมันเงาและมีรอยบุ๋มตรงกลาง บางเม็ดสามารถมองเห็นเม็ดหูดสีขาวข้างในได้ โดยจะมีลักษณะขึ้นเป็นกลุ่มติดกันหลาย ๆ เม็ด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-5 มิลลิเมตร

          อาการของหูดข้าวสุก : หูดข้าวสุกจะไม่ทำให้คนเป็นรู้สึกเจ็บหรือคัน แต่อาจทำให้ผิวหนังโดยรอบเกิดการอักเสบ บวมแดง ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองงเมื่อรักษาหูดข้าวสุกหาย

          วิธีการป้องกันและรักษา : อย่างที่บอกว่าหูดนี้สามารถหายเองได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือติดเชื้ออย่างอื่นแทรกซ้อนควรรีบพบแพทย์ทันที ส่วนวิธีป้องกันคือ ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทำความสะอาดมือและของใช้ที่ใช้รว่มกับผู้อื่นให้ดี ไม่เกาหรือบีบหูดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปสู่จุดอื่น ๆ เท่านี้ก็ห่างไกลจะโรคหูดข้าวสุกแล้ว

          - เริม

          เริมที่อวัยวะเพศ (Gential Herpes) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากติดเชื้อไวรัส เฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (HSV-2) ผ่านการสัมผัสผิวหนัง ทางสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน รวมถึงการมีเพศสัมพนธ์แบบไม่ป้องกัน ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อยังค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อไหร่ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

          ลักษณะของเริม : จะเป็นตุ่มพองเล็ก ๆ มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน คล้ายกับอีสุกอีใส ขนาดประมาณ 2-3 มิลิเมตร ขึ้นมาเป็นกลุ่ม ๆ และผิวหนังโดยรอบจะมีสีแดงชัดมาก

          อาการของเริม : ในช่วงแรกจะมีอาการคัน ๆ ก่อน แต่พอผ่านไปสักระยะจะเริ่มมีอาการปวดแสบ บางคนมีอาการปัสสาวะแสบขัดด้วย ในกรณีที่เป็นครั้งแรกจะมีอาการที่รุนแรงมาก ถึงขั้นมีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการปวดแสบแวดร้อนได้เลย ส่วนกรณีเกิดซ้ำอาการจะเบากว่าครั้งแรก

          วิธีป้องกันและรักษา : ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ หากเกิดเป็นเริมขึ้นมาแพทย์จะทำการจ่ายยาบรรเทาอาการร่วมกับยาต้านเชื้อไวรัส เพื่อลดความรุนแรงของโรคจนกว่าภูมิต้านทานจะแข็งแรง ส่วนวิธีการป้องกัน ควรเริ่มจากงดใช้ของร่วมกันกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการโดนน้ำลายหรือสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และส่วมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

          - โรคหิด

          โรคหิด (Scabies) เกิดจาก ตัวหิด (Scabies mite) ปรสิตขนาดเล็กที่ชอบอาศัยอยู่ในผิวหนังของคนและชอบขุดเจาะ กินเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดเป็นตุ่มแดง ๆ ขึ้น ซึ่งสามารถติดกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ จึงจัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกชนิดหนึ่ง

          ลักษณะของโรคหิด : จะเป็นผื่นหรือตุ่มนูนแดง ๆ ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร บางครั้งอาจจะเป็นโพรงนูนคดเคี้ยวไปมา ซึ่งเกิดจากการเจาะของตัวหิดนั่นเอง

          อาการของโรคหิด : คนที่เป็นโรคหิดจะมีอาการคันอย่างมากโดยเฉพาะช่วงกลางคืน และอาจมีอาการแสบจากการเการ่วมด้วย

          วิธีป้องกันและรักษา : โรคหิดสามารถรักษาได้ด้วยการทายา หรือครีมรักษาต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่จะทาในช่วงกลางคืน เพราะเป็นช่วงที่ตัวหิดตื่นตัวและมีอาการคันมากที่สุด หลังจากตุ่มแดง ๆ เริ่มยุบลงแล้วควรทายาต่อไปอีกสักพัก เพื่อให้มั่นใจว่าหายขาดแล้วจริง ๆ ส่วนวิธีการป้องกันที่สำคัญเลย คือ ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ให้ดี เพราะแม้แต่ฝาชักโครกก็สามารถติดต่อกันได้ งดสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรค และงดมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช้คู่นอน

          ลองเช็กกันดูนะครับว่าเป็นโรคข้างต้นหรือเปล่า หากพบว่าใช้ก็ลองนำวิธีรักษาและป้องกันไปใช้ดูได้นะครับ แต่จริง ๆ แล้วตุ่มที่อัณฑะสามารถเป็นได้จากหลายโรค ซึ่งหากพบอาการแปลก ๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังจะเป็นการดีที่สุด ยังไงก็อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านี้ไปบอกคนรอบตัวกันต่อด้วยนะครับ

ข้อมูลจาก : medthai.com, pobpad.com, haamor.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตุ่มที่อัณฑะ ภัยเล็ก ๆ ที่ผู้ชายทุกคนต้องพึงระวัง ! อัปเดตล่าสุด 29 ธันวาคม 2560 เวลา 12:50:24 127,341 อ่าน
TOP