ตุ่มที่อัณฑะ ภัยเล็ก ๆ ที่ผู้ชายทุกคนต้องพึงระวัง !

          ตุ่มที่อัณฑะ สามารถเกิดได้จากหลายโรค และอาจเป็นโรคติดต่อ มาเช็กอาการพร้อมวิธีรักษาเบื้องต้นกันดีกว่า ก่อนที่มันจะลุกลามจนเป็นเรื่องใหญ่

ตุ่มที่อวัยวะเพศ

          เชื่อว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่เจอปัญหามีตุ่มที่อวัยวะเพศ หรือตุ่มแปลก ๆ เกิดขึ้นที่อัณฑะ จนเกิดเป็นข้อสงสัยว่าตุ่มเหล่านั้นจะมีอันตรายหรือผลข้างเคียงที่น่ากลัวหรือเปล่า จะเป็นโรคติดต่อไหม ครั้นจะให้ไปถามคนรอบข้างก็ดูไม่เหมาะ แถมทำให้รู้สึกเขินอายอีกด้วย กระปุกดอทคอมกลัวว่าอาการเหล่านั้นจะกำเริบหนัก จึงได้รวบรวมโรคที่ทำให้เกิดตุ่มที่อัณฑะ พร้อมอาการและวิธีรักษามาให้เพื่อน ๆ ที่เจอปัญหาเหล่านี้ได้ลองอ่านกัน จะได้ทราบกันว่าเป็นโรคอะไร รักษายังไง แล้วอาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์ ยังไงก็ลองมาเช็กกันดูก่อนครับ

สิว


          ถุงอัณฑะของผู้ชายมีรูขุมขนจำนวนมาก เมื่อมีรูขุมขนก็สามารถเป็นสิวได้ โดยเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้

          - ขนคุด

          - รูขุมขนอุดตัน

          - การสะสมของสิ่งสกปรกและน้ำมันจากเหงื่อออกหรือไม่ได้อาบน้ำเป็นประจำ

          ลักษณะของสิว : มีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ สีแดง หัวสิวมีความมัน มีหนองขาวตรงกลางตุ่ม (สิวหัวขาว) หรือจุดดำคล้ำที่หนองแห้ง (สิวหัวดำ)

วิธีการป้องกันและรักษา :

          1. ทำความสะอาดให้ดี ล้างสิวทุกครั้งที่อาบน้ำ และใส่น้ำมันทีทรีหรือน้ำมันละหุ่งลงบนสิวเพื่อทำความสะอาด

          2. ใช้แป้งข้าวโพดผสมน้ำเปล่าทาลงบนสิวเพื่อดูดซับความมัน

          3. ทาครีมต้านเชื้อแบคทีเรีย เช่น นีโอสปอริน บนสิวเพื่อฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียที่สะสมอยู่

หูดข้าวสุก


          โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยและพบได้ในผู้ชายทุกวัย โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus หรือ เอ็มซีวี (MCV) ผ่านการสัมผัสผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัสโดยตรง ทางเพศสัมพันธ์ หรือทางสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งโรคนี้จะมีผลกับผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีการเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือดหรือระบบประสาทแต่อย่างใด และสามารถหายเองได้ในระยะเวลาประมาณ 2-12 เดือน

          ลักษณะของหูดข้าวสุก : จะเป็มตุ่มกลม ๆ สีเหลืองหรือสีเนื้อ ผิวเรียบเป็นมันเงาและมีรอยบุ๋มตรงกลาง บางเม็ดสามารถมองเห็นเม็ดหูดสีขาวข้างในได้ โดยจะมีลักษณะขึ้นเป็นกลุ่มติดกันหลาย ๆ เม็ด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-5 มิลลิเมตร

          อาการของหูดข้าวสุก : หูดข้าวสุกจะไม่ทำให้คนเป็นรู้สึกเจ็บหรือคัน แต่อาจทำให้ผิวหนังโดยรอบเกิดการอักเสบ บวมแดง ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อรักษาหูดข้าวสุกหาย

          วิธีการป้องกันและรักษา :
อย่างที่บอกว่าหูดนี้สามารถหายเองได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือติดเชื้ออย่างอื่นแทรกซ้อนควรรีบพบแพทย์ทันที ส่วนวิธีป้องกันคือ ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทำความสะอาดมือและของใช้ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่นให้ดี ไม่เกาหรือบีบหูดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปสู่จุดอื่น ๆ เท่านี้ก็ห่างไกลจากโรคหูดข้าวสุกแล้ว

เริม


          เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (HSV-2) ผ่านการสัมผัสผิวหนัง ทางสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อยังค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อไหร่ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

          ลักษณะของเริม : จะเป็นตุ่มพองเล็ก ๆ มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน คล้ายกับอีสุกอีใส ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ขึ้นมาเป็นกลุ่ม ๆ และผิวหนังโดยรอบจะมีสีแดงชัดมาก

          อาการของเริม : ในช่วงแรกจะมีอาการคัน ๆ ก่อน แต่พอผ่านไปสักระยะจะเริ่มมีอาการปวดแสบ บางคนมีอาการปัสสาวะแสบขัดด้วย ในกรณีที่เป็นครั้งแรกจะมีอาการที่รุนแรงมาก ถึงขั้นมีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการปวดแสบปวดร้อนได้เลย ส่วนกรณีเกิดซ้ำอาการจะเบากว่าครั้งแรก

          วิธีป้องกันและรักษา : ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ หากเกิดเป็นเริมขึ้นมาแพทย์จะทำการจ่ายยาบรรเทาอาการร่วมกับยาต้านเชื้อไวรัส เพื่อลดความรุนแรงของโรคจนกว่าภูมิต้านทานจะแข็งแรง ส่วนวิธีการป้องกัน ควรเริ่มจากงดใช้ของร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการโดนน้ำลายหรือสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และส่วมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

ตุ่มที่อวัยวะเพศ

โรคหิด


          โรคหิด (Scabies) เกิดจาก ตัวหิด (Scabies mite) ปรสิตขนาดเล็กที่ชอบอาศัยอยู่ในผิวหนังของคนและชอบขุดเจาะกินเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดง ๆ ขึ้น ซึ่งสามารถติดกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ จึงจัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกชนิดหนึ่ง

          ลักษณะของโรคหิด : จะเป็นผื่นหรือตุ่มนูนแดง ๆ ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร บางครั้งอาจจะเป็นโพรงนูนคดเคี้ยวไป-มา ซึ่งเกิดจากการเจาะของตัวหิดนั่นเอง

          อาการของโรคหิด :
คนที่เป็นโรคหิดจะมีอาการคันอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงกลางคืน และอาจมีอาการแสบจากการเการ่วมด้วย

          วิธีป้องกันและรักษา : โรคหิดสามารถรักษาได้ด้วยการทายาหรือครีมรักษาต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่จะทาในช่วงกลางคืน เพราะเป็นช่วงที่ตัวหิดตื่นตัวและมีอาการคันมากที่สุด หลังจากตุ่มแดง ๆ เริ่มยุบลงแล้วควรทายาต่อไปอีกสักพัก เพื่อให้มั่นใจว่าหายขาดแล้วจริง ๆ ส่วนวิธีการป้องกันที่สำคัญเลยคือ ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ให้ดี เพราะแม้แต่ฝาชักโครกก็สามารถติดต่อกันได้ งดสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรค และงดมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอน

มะเร็งอัณฑะ


          ตุ่มที่อัณฑะอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งอัณฑะได้ โดยมักเริ่มต้นจากเนื้องอกขนาดเล็กในเซลล์สืบพันธุ์ที่สร้างอสุจิภายในลูกอัณฑะ และมีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้

          - มีภาวะลูกอัณฑะไม่ลงถุง ซึ่งเป็นภาวะที่ลูกอัณฑะ 1 หรือ 2 ข้างไม่เข้าไปอยู่ในถุงอัณฑะ มักเป็นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก่อนคลอด มีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้นประมาณ 10-40%

          - โครโมโซมคู่ที่ 1 หรือคู่ที่ 12 ผิดปกติ

          - เคยบาดเจ็บหรือมีการอักเสบบริเวณอัณฑะจากสาเหตุต่าง ๆ

          - ภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV)

          - ผู้ชายที่เป็นหมันแต่กำเนิดมีโอกาสเกิดมะเร็งอัณฑะสูงกว่าปกติ

          อาการของมะเร็งอัณฑะ :
มีหลายอาการดังนี้

          - คลำพบก้อนเนื้อในอัณฑะ อาจจะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้ อาจจะเป็นตุ่มเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนก็ได้

          - ลูกอัณฑะบวมหรือใหญ่ขึ้น

          - ปวดหน่วงบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือท้องน้อย

          - อัณฑะบวมคล้ายมีน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ

          - รู้สึกปวดขัดหรือรู้สึกไม่สบายภายในอัณฑะ

          - รู้สึกเหมือนมีน้ำสะสมภายในถุงอัณฑะ

          - ความต้องการทางเพศลดลง

          วิธีป้องกันและรักษา : โรคมะเร็งอัณฑะยังจัดว่ามีความรุนแรงต่ำ และสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยจะมีวิธีการรักษาดังนี้

          - การผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดเฉพาะอัณฑะข้างที่เป็นโรคเท่านั้น โดยแพทย์มีการประเมินเซลล์มะเร็งและระยะของโรค รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง

          - รักษาด้วยรังสี อาจทำการฉายรังสีต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องท้อง ช่องอก หรือบริเวณที่มะเร็งแพร่กระจาย

          - เคมีบำบัด หลังจากผ่าตัดแล้วแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้เคมีบำบัดต่อเนื่อง หรือทำพร้อมการรักษาด้วยรังสี

          ลองเช็กกันดูว่าเป็นโรคข้างต้นหรือเปล่า หากพบว่าใช่ก็ลองนำวิธีรักษาและป้องกันไปใช้ดูได้ แต่จริง ๆ แล้วตุ่มที่อัณฑะสามารถเป็นได้จากหลายโรค ซึ่งหากพบอาการแปลก ๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังจะเป็นการดีที่สุด ยังไงก็อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านี้ไปบอกคนรอบตัวกันต่อด้วยนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : healthline.com, si.mahidol.ac.th, haamor.com, bumrungrad.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตุ่มที่อัณฑะ ภัยเล็ก ๆ ที่ผู้ชายทุกคนต้องพึงระวัง ! อัปเดตล่าสุด 2 ตุลาคม 2566 เวลา 16:41:17 210,896 อ่าน
TOP
x close