5 อาการที่คุณผู้ชายมักละเลย (รักลูก)
มีข้อมูลจากแพทย์หลายท่านนะคะที่ระบุว่าคนไข้เพศชายของเขามักไม่สนใจต่ออาการบ่งชี้ของสุขภาพร่างกายตัวเองนัก แม้จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก็ตาม และ 5 อาการต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณผู้ชายมักมองข้าม...ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ดังนั้น หากคุณมีอาการเหล่านี้ควรคิดถึงการปรึกษาแพทย์ไว้ก่อนนะคะ
1. เจ็บหน้าอก คิดใช่ไหมคะว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผู้ชายจะละเลย แต่เชื่อเถอะค่ะว่าอาการเหล่านี้ถูกละเลยมาโดยตลอด เพราะคุณผู้ชายมักคิดว่าตัวเองแค่มีร่างกายที่ไม่ฟิตเปรี๊ยะ มีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร หรือรู้สึกเครียดเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเมื่อคุณผู้ชายมีอาการแน่นหรือเจ็บหน้าอก หรือหายใจถี่ ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ
2. ลงพุง คนที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องมักจะมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าคนที่มีไขมันสะสมในบริเวณอื่นของร่างกายนะคะ ซึ่งไขมันหน้าท้องนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณเป็นโรคหรือมีอาการต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีภาวะดื้ออินซูลิน ไตรกลีเซอไรด์สูง ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีอยู่ในระดับต่ำ มีอาการของโรคที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
3. อ่อนแอ ในที่นี้คือความอ่อนแอทางด้านจิตใจหรือในเชิงของสุขภาพจิต แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณผู้ชายมีโรคหัวใจ และหลอดเลือด โดยหากหลอดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศ หัวใจ และสมอง อย่างใดอย่างหนึ่งทำงานไม่ดีหรือไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้คุณผู้ชายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลที่มักนำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ค่ะ
4. ปัสสาวะบ่อย การที่คุณผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยครั้งมากขึ้น อย่ามองข้ามค่ะ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนอาการต่อมลูกหมากอักเสบ ดังนั้น หากคุณเริ่มปวดปัสสาวะมาก 2-3 ครั้งในช่วงเวลากลางคืนควรรีบปรึกษาแพทย์
5. ซึมเศร้า ในขณะที่ภาวะซึมเศร้านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พบได้มากขึ้นในผู้หญิง แต่เชื่อไหมคะว่าสำหรับผู้ชายแล้วอาการซึมเศร้าอาจร้ายแรงจนถึงขั้นนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ เนื่องจากเพศชายมีความลังเลที่จะขอความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาจากคนรอบข้างมากกว่า นอกจากนี้ อาการซึมเศร้ายังส่งผลต่อการทำงาน สังคมและชีวิตครอบครัวของคุณอย่างแท้จริง
ถ้าการเป็นผู้ชายทำให้คุณเลือกหลีกเลี่ยงที่จะพบแพทย์ หรือคิดเข้าข้างตัวเองว่าปล่อยไว้สักพักเดี๋ยวอาการเหล่านั้นก็หายไป แล้วคุณจะดีขึ้นเอง เชื่อเถอะค่ะว่าคุณอาจคิดผิด เพราะความจริงสิ่งที่ตามมาอาจเป็นภาวะที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมก็ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 32 ฉบับที่ 373 กุมภาพันธ์ 2557