มุมมองชีวิตในแบบฉบับของ เก้า จิรายุ ในวู้ดดี้เกิดมาคุย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย

            เรียกได้ว่า "เก้า จิรายุ ละอองมณี" เป็นหนุ่มวัยรุ่นชายที่ฮอตติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้... พิสูจน์ได้จากผลงานที่มีอย่างต่อเนื่อง แถมแต่ละเรื่องยังดังเปรี้ยงปร้างสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานละคร ภาพยนตร์ โฆษณา และซิงเกิลเพลงของตัวเอง รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย (5 สิงหาคม) จึงขอเกาะกระแสความฮอตของหนุ่มเก้า มานั่งจับเข่าคุยถึงมุมมองความคิด และเรื่องราวชีวิตในเส้นทางบันเทิงที่หนุ่มเก้าเดินเข้ามาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ .... ขอบอกเลยค่ะว่า มุมมองและทัศนคติในการใช้ชีวิตของหนุ่มเก้าไกลเกินเด็กอายุ 16 หลาย ๆ คนอย่างแน่นอน

           โดยพิธีกรได้ถามว่า... เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึงตอนนี้อายุ 16 ปีแล้ว ถือได้ว่าอยู่ในวงการมามากกว่าดาราบางคนเสียอีก เลยอยากจะรู้ว่า เก้า รู้สึกเริ่มเบื่อกับวงการบันเทิงแล้วหรือยัง ด้านหนุ่มเก้าตอบว่า ช่วงนี้ก็รู้สึกบ่อย ๆ เพราะเราเป็นวัยรุ่น เรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย เริ่มมีสังคมเพื่อน และเริ่มรู้มาก ในสมัยก่อนคือยังไม่รู้อะไรมาก เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ เป็นงานแบบวันต่อวันไม่เคยเก็บเอามาคิด แต่ตอนนี้เราเริ่มคิดเยอะเลยไม่มีความสุข บางทีก็อยากจะเรียน อยากจะเจอเพื่อน แต่ต้องตื่นเช้าทำงาน มันก็จะรู้สึกเบื่อ ๆ ไปทั้งวัน แบบคิดตลอดเวลาเมื่อไรจะเสร็จเสียที แต่ทั้งนี้ หากงาน ๆ นั้นมีอะไรที่น่าสนใจที่พอจะเยียวยาได้ เช่น เจอผู้หญิงสวย ๆ (หัวเราะ) หรือเจอคนเจ๋ง ๆ ที่มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดอะไรต่ออะไรกัน มันก็โอเค

           ต่อกันด้วยกระแสข่าวที่มีเสียงลือมาว่า... หนุ่มเก้าปฏิเสธงานนับสิบล้านบาทนั้น เท็จจริงเป็นอย่างไร เจ้าตัวชี้แจงว่า เรื่องมูลค่านั้นไม่ทราบจริง ๆ แต่ถ้าข่าวบอกว่านับสิบล้านก็คือสิบล้าน ทั้งนี้ ตนกับแม่เวลารับงานก็ไม่ได้เกี่ยงหรือเลือกงานอะไรมากนัก และงานที่ปฏิเสธไปไม่ใช่ไม่ดี แต่ตนเป็นคนมีเงื่อนไข ซึ่งทำมานานแล้วตั้งแต่เข้าวงการ นั่นก็คือ ถ้าหากมันตรงกับวันเรียน ตนก็จะไม่อยากรับ ถ้าเป็นไปได้คือไม่รับเลย ด้านพิธีกรเลยถามแทรกว่า ถ้าหากวันนั้นมีงานเงินแสน กับต้องซ้อมกีฬาโรงเรียนเก้าจะเลือกอะไร... ด้านหนุ่มเก้าก็ตอบทันควันเลยว่า เลือกที่จะซ้อมกีฬากับทางโรงเรียนตนจะสบายใจกว่า ส่วนแม่ก็มีถามว่าแน่ใจหรือลูก ซึ่งถ้าหากตนยืนยันแม่ก็เข้าใจ เพราะวัยนี้มันเป็นวัยที่ต้องการเพื่อน ถึงแม้ว่าชีวิตตนจะแตกต่างจากเพื่อนไปบ้าง หากมองในอีกมุมมองหนึ่งตนว่ามันก็คุ้ม

          หลังจากนั้นด้านพิธีกรก็ขอตามเก้า ไปทำงานด้วย เนื่องจากอยากรู้ว่า ชีวิตของเก้าในแต่ละวันนั้นเป็นอย่างไร... ทั้งนี้ ถ้าหากเห็นหนุ่มเก้าที่ไหนก็จะมีแม่อยู่ด้วยตลอด เพราะแม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวที่คอยรับงานให้กับเก้า ส่วนงานแรกของเก้าที่ขึ้นอีเวนท์นั้น คุณแม่ก้อย วรนุช ละอองมณี เล่าเรื่องขำ ๆ ให้ฟังว่า งานแรกที่เก้าไปอีเวนท์ก็ทำงานเค้าขายหน้าเลย ตอนนั้นเก้าอายุ 2 ขวบ ซึ่งพิธีกรได้ถามว่า ชื่ออะไร ด้านน้องเก้าก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า อ้าวไม่ได้รู้อยู่แล้วเหรอ รู้อยู่แล้วมาถามทำไม

          ต่อจากนั้น วู้ดดี้ก็ได้พาหนุ่มเก้าเดินเช็คเรตติ้งที่สยาม สถานที่วัยรุ่นส่วนมากนิยมเดินกัน ซึ่งหนุ่มเก้าก็ขอกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้มาทำงาน ตนก็ไม่ได้มาเดินสยามเลย เพราะบ้านไกล แล้วอีกอย่างคือเวลาทำงานตนต้องเจอคนเยอะ ๆ อยู่แล้ว ถ้าหากเป็นวันพักผ่อนตนเลือกได้ก็ขออยู่ในที่ที่มีคนน้อย ๆ ดีกว่า ส่วนสยามตนก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมา เพราะไม่ชอบเดินดูของหรือมาเดินเที่ยวแต่อย่างใด แต่ถ้าหากจะไปเที่ยวกับเพื่อน ส่วนมากตนก็จะเลือกที่จะดูหนังมากกว่า




          เมื่อถามถึงเรื่องความรัก... หนุ่มเก้าก็เลยขอถามเรื่องที่ค้างคาใจกับ วู้ดดี้ ถึงเทปที่รายการถ่าย "มิยาบิ" ว่า ทำไมพี่ไม่โทรหาผม ทำไมไม่บอกผม วู้ดดี้เลยถามเหตุผลว่าทำไม ซึ่งหนุ่มเก้าก็ตอบอย่างเขิน ๆ ว่า เทปนั้นน่าจะเป็น วู้ดดี้แอนด์เก้าเกิดมาคุย (หัวเราะ) เพราะมิยาบิเป็นคนที่ตนตามผลงาน เรื่องแรกที่ดูก็เขาแสดง เรียกได้ว่าผูกพันกับเขาตั้งแต่เด็ก ๆ ประมาณอายุ 11-12 เลยทีเดียว ตนโตมากับมิยาบิ.. มิยาบิเลี้ยงตนมา

         ต่อกันด้วยเรื่องราวหัวใจของหนุ่มเก้า เป็นปกติที่วัยรุ่นมักจะถูกใจเพศตรงข้าม เลยอยากถามว่าเก้าเคยมีความรัก และมีแฟนกับเขาบ้างหรือเปล่า แล้วแม่ว่าหรือไม่เรื่องมีความรัก... เรื่องนี้หนุ่มเก้าบอกว่า ตนมีอะไรก็เล่าให้แม่ฟังตลอด เรื่องมีแฟนแม่ไม่เคยยุ่งเลย แต่อาจจะสอนเทคนิคจีบสาว มารยาหญิงให้รู้บ้าง อย่างเช่น ถ้าผู้หญิงบอกว่า ไปเถอะ อย่ามาอยู่กับเขาเลยอะไรอย่างนี้ ก็แปลว่าต้องอยู่ (หัวเราะ) ส่วนเดทแรกของตนนั้น เริ่มต้นตอนอายุ 13 เขาเป็นรุ่นพี่ ซึ่งเราสองคนไปดูหนังด้วยกัน แต่ด้วยความที่ว่าไม่เคยไปซื้อตั๋วหนัง เพราะปกติไปกับแม่ตลอด เลยทำให้ซื้อไม่เป็น แล้วยิ่งอยู่ต่อหน้าหญิงยิ่งสั่น เขาก็เลยไปซื้อให้ เป็นหนังเรื่องบุญชู ไอเลิฟสระอู ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายระหว่างตนกับเขา... เชื่อไหม ว่าตนถูกผู้หญิงคนนี้้ทิ้ง ทุกวันนี้ตนก็ยังเสียดาย เพราะเขาเป็นผู้หญิงที่น่ารัก เก่ง และฉลาดมาก เขาไม่ได้คบคนที่ชื่อเสียง ในเมื่อไปด้วยกันไม่ได้ก็ต้องเลิกกัน

         เก้า เล่าถึงเรื่องความรักให้ฟังต่อว่า... ตนมีแฟนมาสองคน คนที่สองคบมาประมาณ 1 ปี เป๊ะ ๆ (พิธีกรถามแทรกว่า เลิกกันเพราะไม่มีเวลาหรือเปล่า) ด้านเก้า กล่าวตอบว่า เรื่องเวลาตนมีให้เสมอ และอยากจะบอกว่าตนเป็นคนที่โรแมนซ์มาก อย่างเช่นคนแรกตนก็ซื้อตุ๊กตาโลมาให้ ที่ให้โลมานั้นก็เป็นเพราะมันจะมีคู่แค่ตัวเดียว มีครั้งหนึ่งแล้วมันจะไม่มีไปตลอดชีวิต ส่วนคนที่สองตนให้เป็นตุ้มหูโลมา คนนี้ตนจริงจังมากถึงขนาดคิดเรื่องแต่งงาน แถมตั้งชื่อลูกกันแล้วด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องจบลง ต่อจากนั้นตนก็ไม่อยากมีใคร เพราะเราอายุเท่านี้ยังมีแฟนมาแล้ว 2 คน เริ่มรู้สึกว่ามันมากเกินไป

         ถ้าถามว่าปัจจุบันตนมีแฟนหรือยัง ขอบอกเลยว่า ตอนนี้โสดสนิท ไม่ได้คิดจะคบหากับใคร ส่วน ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์ ที่หลายคนจับคู่ให้ เขาก็อายุยังน้อย คงอยากจะใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่เหมือนกัน ถ้าถามว่าคุยกันบ้างหรือเปล่า มันก็มีบ้าง แชทหากัน และสนิทกันก็เพราะเล่นหนังด้วยกัน

         ต่อด้วยคำถามเด็ดอย่างเช่น "เก้ายังเวอร์จิ้นอยู่ไหม" ด้านเก้า ก็ยืนยันหนักว่าแน่นว่า เวอร์จิ้นอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดเวอร์จิ้นเลย อะไรยังไงขอไม่ตอบละกัน เอาเป็นว่ายังไม่ถึงขนาดมีเพศสัมพันธ์ ด้านพิธีกรก็ต้องอึ้งกับคำตอบ เพราะไม่คิดว่าหนุ่มเก้าจะกล้าตอบคำถามแบบนี้อย่างตรงไปตรงมา เลยบอกกับเก้าว่า เก้าน่าจะเป็นผู้ชายที่เก็บเวอร์จิ้นไว้จนถึงวันแต่งงานหรือเปล่า งานนี้หนุ่มเก้าก็ยิ้มแล้วตอบว่า ยังไม่สามารถพูดถึงอนาคตได้ แต่ถ้ามันจะมีกับใครสักคนมันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงแบบวันไนท์สแตนด์ แต่ถ้าเป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบเขารักเราแต่เรารักเขาเพียงแค่ครึ่งเดียวก็อย่าทำดีกว่า ไม่อยากทำร้ายใคร

         อย่างไรก็ตาม พิธีกรถามต่อว่า การที่เก้ามีความคิดและมีมุมมองดี ๆ ที่เกินเด็กแบบนี้ เพราะคุณแม่เป็นคนปลูกฝังหรือไม่ พระเอกหนุ่มรุ่นเล็กตอบว่า ใช่ แต่เรื่องงานไม่ใช่ ถึงแม้ว่าใครหลาย ๆ คนจะมองว่าแม่ตนกีดกัน ทำให้ตนเลือกรับงานแต่จริง ๆ แล้ว การตัดสินใจของตนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ระยะหลังมาตนเป็นปฏิเสธแทบจะทุกงาน ถ้าเป็นไปได้ตนอยากเล่นแค่ภาพยนตร์ เรียน และเล่นดนตรีกับเพื่อนเท่านั้น

        ส่วนการที่มีแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา แล้วอยากมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างหรือไม่ เก้า บอกว่า จริง ๆ มันก็อยาก แต่ถ้าจะให้มีผู้จัดการเป็นคนอื่นก็คงไม่เอา ติดแม่อย่างนี้ดีแล้ว มีหลายครั้งที่ตนอาจจะหลงทาง อาจจะเหลิงไปบ้าง แต่ได้แม่นี่แหละที่ทำให้ตนเดินในเส้นทางที่ควรจะเป็น การอยู่ในวงการนี้สำหรับตน แม่เป็นคนที่จำเป็นมาก ๆ ไม่มีใครที่จะเชื่อใจได้จริง ๆ เท่ากับพ่อและแม่ของเราอีกแล้ว



        ด้านคุณแม่ก้อย กล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกมองว่า บังคับให้ลูกรับงานตั้งแต่เด็ก ๆ ว่า จริง ๆ แล้วคนเป็นแม่ไม่อยากเห็นลูกทำงานหนักหรอก บทเรียนครั้งแรกของตนก็ตั้งแต่ตอนเก้าเล่นละครตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นประมาณตี 1 ตนต้องปลุกเก้าไปทำงาน แล้วเก้าร้องไห้ไม่อยากทำ มันทำให้ตนร้องไห้ตาม และวันนั้นเลยบอกกับลูกว่า ให้อดทนอีกนิด และจากนี้ถ้าไม่อยากเล่นก็ไม่ต้องรับ อยากเล่นเมื่อไรค่อยมาเล่น ซึ่งเรื่องนี้มันทำให้ตนรู้สึกผิดมาโดยตลอด ส่วนตอนโตก็เหมือนกัน บางทีเห็นลูกเหนื่อย ๆ แล้วตนอยากจะทำอยากช่วยอะไรก็ได้ให้เขาหายเหนื่อย อย่างเช่นเอารังนกไปให้กิน แต่บางทีเขาเหนื่อยจนไม่อยากกิน มันทำให้ตนรู้สึกว่า ถ้าตนเหนื่อยแทนเขาได้ตนก็จะทำ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ตนเหนื่อยแทนลูกได้หมด เหลืออย่างเดียวที่ทำให้ไม่ได้นั้นก็คือ การเล่นหนัง

       คุณแม่ก้อย ยังกล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ เงินก็เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต แต่อะไรมันก็คงไม่สำคัญไปกว่าความสุขของลูก... เก้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของตน ถึงแม้ว่าเราจะพูดดีกันบ้าง พูดไม่ดีกันบ้าง แต่ตนก็อยากให้เก้ารู้ไว้ว่า ตนภูมิใจในตัวเก้าที่สุด....