นักวิจัยผู้ชายเสี่ยงสมองเสื่อมมากกว่าผู้หญิง

ชี้ผู้ชายเสี่ยงสมองเสื่อมมากกว่าผู้หญิง (ไทยโพสต์)

           นักวิจัยพบว่า ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมอย่างอ่อน ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ได้

           ผลการวิจัยระบุว่า ผู้ชายมีความเสี่ยงสองเท่าที่จะสูญเสียความทรงจำ และทักษะทางสมองอื่น ๆ เช่น การวางแผน และทำงานที่ซับซ้อนในช่วงบั้นปลายชีวิตประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมอย่างอ่อน หรือเอ็มซีไอ (MCI-mild cognitive impairment) จะพัฒนาไปเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรืออาการสมองเสื่อมรูปแบบอื่น ๆ ในกรณีโรคเอ็มซีไอนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการชัดเจนกว่าอาการขี้หลงขี้ลืมตามวัย แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นเดียวกับโรคอัลไซเมอร์

           ข้อค้นพบนี้ได้จากการศึกษาประชาชนในสหรัฐจำนวน 1,450 คน อายุระหว่าง 70-89 ปี ซึ่งไม่มีอาการสมองเสื่อมคนเหล่านี้ได้เข้ารับการทดสอบความจำทุก ๆ 15 เดือนเป็นเวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งในจำนวนนี้มี 296 คนที่ได้กลายเป็นโรคเอ็มซีไอ

           งานวิจัยพบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมรายใหม่ในแต่ละปีนั้นเป็นผู้ชายมากกว่า ในภาพรวม มีผู้ป่วยโรคนี้ 64 รายต่อ 1,000 คน แต่เมื่อเทียบระหว่างเพศแล้วจะพบผู้ชาย 72 รายใน 1,000 คน ขณะที่พบในผู้หญิง 57 รายใน 1,000 คน

           รายงานซึ่งตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ Neurology ชิ้นนี้บอกอีกว่า คนที่มีการศึกษาน้อย และคนที่เป็นโสด มีอัตราการเป็นโรคเอ็มซีไอสูง

           หัวหน้าทีมวิจัย ดร.โรสบัด โรเบิร์ต แห่งโรงพยาบาลเมโยคลินิก ในเมืองโรเชสเตอร์ บอกว่า ผลการศึกษานี้น่าประหลาดใจ เพราะโดยทั่วไปผู้หญิงมีอัตราการเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้ชายความเสี่ยงต่อโรคเอ็มซีไอในผู้ชายและผู้หญิงจะมีมากในวัยสูงอายุ

           ดร.แอนน์ คอร์เบ็ต แห่งสมาคมอัลไซเมอร์ บอกว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอ็มซีไอจะช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบำบัดรักษา

           ดร.มารี แจนสัน ผอ.ฝ่ายพัฒนา สถาบันวิจัยอัลไซเมอร์อังกฤษ บอกว่า ผลการศึกษานี้ชี้ว่า ผู้ชายอาจมีความเสี่ยงต่อโรคเอ็มซีไอมากกว่า แม้มีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมน้อยกว่า และควรมีการวิจัยเพื่อยืนยันข้อค้นพบนี้ "งานวิจัยควรหาคำตอบว่า ทำไมคนบางส่วนที่เป็นโรคเอ็มซีไอจึงพัฒนาไปเป็นโรคสมองเสื่อม ขณะที่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าเรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ทำไมบางคนจึงมีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนอื่น ๆ เราก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะป้องกันโรคนี้ได้"





ขอขอบคุณข้อมูลจาก