x close

รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย

รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย

รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย (Men’s Health)
เรื่อง สุภาพร

          ถ้าใครไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นคงไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่มีกลิ่นไม่พึงปรารถนาตามจุดต่าง ๆ บนร่างกาย ว่าเขาอาย ขาดความมั่นใจ หรือกลัวคนรังเกียจแค่ไหน ฉบับนี้ MH ตั้งใจคัดสรรข้อมูลเต็มที่ เพื่อตามล่าหาวิธีแก้ไขมาให้อย่างสมใจ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นตัวแรง กลิ่นบริเวณจุดซ่อนเร้น และกลิ่นปาก หวังว่าคงถูกใจหนุ่ม ๆ มีปัญหาทั้งหลาย

กลิ่นตัวแรง

          บริเวณรักแร้ของเราทุกคนนั้นมีต่อมที่สร้างเหงื่ออยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า "Eccrine Glands" มีหน้าที่คอยสร้างเหงื่อเวลาอากาศร้อน เหงื่อชนิดนี้จะใสและมักไม่มีกลิ่น ยกเว้นเวลากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ เช่น กระเทียม แอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิดก็อาจทำให้มีกลิ่นได้บ้าง อีกชนิดหนึ่งมีชื่อว่า "Apocrine Glands" เหงื่อที่ถูกสร้างออกมาจะมีความเหนียวกว่า และพร้อมจะเปลี่ยนสภาพทันทีที่สัมผัสกับแบคทีเรียตามผิวหนัง ผลก็คือกลิ่นเปรี้ยว ๆ ของกรดไขมัน และแอมโมเนีย ผสมกันเป็นกลิ่นรักแร้นั่นเอง

วิธีรักษา

          การทำความสะอาดบริเวณรักแร้อย่างสม่ำเสมอ หรือการใช้ยาดับกลิ่นเพื่อลดจำนวนแบคทีเรียเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผล แต่ในบางกรณีจำเป็นต้องอาศัยการลดปริมาณเหงื่อที่ถูกสร้างออกมา โดยลดการทำงานของต่อมหรือลดจำนวนของต่อม การลดปริมาณของต่อมเหงื่อสามารถทำได้ไม่ยาก ด้วยการฉีดยาในกลุ่มโบทูลินัมท็อกซิน หรือ "โบท็อกซ์" เข้าไปที่รักแร้โดยตรง ซึ่งสามารถลดการทำงานของต่อมไขมันได้บางส่วน แต่จะได้ผลเพียงชั่วคราวประมาณ 3 - 4 เดือน เท่านั้น

          ดังนั้นการที่จะทำให้ปริมาณของเหงื่อลดลงอย่างถาวรจึงจำเป็นต้องลดจำนวนที่รักแร้เป็นหลัก การลดจำนวนต่อมเหงื่อ หรือกำจัดกลิ่นอย่างถาวรมีวิธีการมากมายที่ใช้เพื่อลดจำนวนของต่อมเหงื่อ อาทิ การตัดผิวหนังบริเวณรักแร้บางส่วนออกไป ซึ่งวิธีนี้ถึงแม้จะได้ผล แต่ก็มีแผลบริเวณรักแร้เกิดขึ้นแทน หรือการใช้เครื่องมือขนาดเล็กคล้ายเครื่องขูดมะพร้าว (Curettage) เข้าไปขูดได้ผิวหนังเพื่อหลีกเลี่ยงการตัด นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมกัน แต่เนื่องจากต่อมไขมันยูชิดผิวชั้นนอกมาก อาจทำให้ผิวหนังชั้นนอกตายเยอะ แถมยังทำให้ผิวซ้ำมาก ซึ่งต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่นาน

          ถ้าถามว่าเลเซอร์ช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่จากผลการศึกษาล่าสุดพบว่า แสงเลเซอร์บางชนิดมีความสามารถในการลดจำนวนต่อมเหงื่อได้ โดยแสงเลเซอร์ชนิดนี้จะถูกนำผ่านสายไฟเบอร์ออปติกขนาดเล็กเพียง 2 มิลลิเมตร สอดเข้าไปยังชั้นใต้ผิวหนังเพื่อทำลายต่อมเหงื่อโดยตรง โดยไม่มีผลกระทบต่อเส้นเลือดฝอยและผิวหนังแต่อย่างใด เนื้อเยื่อจึงมีความซอกซ้ำไม่มาก ระยะเวลาในการพักฟื้น จึงสั้นกว่าวิธีเดิม ๆ อีกทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยของบาดแผลให้เห็นอีกด้วย

          อย่างไรก็ตามการใช้แสงเลเซอร์เพื่อรักษา ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความชำนาญโดยตรง เพื่อลดปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผิดวิธี

การทำศัลยกรรมรักแร้

          ข้อดี: แก้ปัญหาเรื่องกลิ่นตัว ขั้นตอนแรกควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน ส่วนวิธีผ่าตัดจะพิจารณาภายหลังจากการดูแลรักษาด้วยการทายาไม่ได้ผล ศัลยกรรมเพื่อลดกลิ่นที่รักแร้ มีผลทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลง การทำศัลยกรรมชนิดนี้จะทำลายต่อมสร้างเหงื่อ และรากขนที่อยู่ตื้น ๆ ใต้ผิวหนัง

          การที่เหงื่อมีน้อยลงส่งผลให้เชื้อโรคบริเวณรักแร้ไม่แพร่พันธุ์ออกมามาก จึงทำให้กลิ่นมีน้อยลง แต่การศัลยกรรมลดกลิ่น หรือทำวิธีใดก็ตามไม่มีทางกำจัดได้หมด 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะผิวจะต้องมีเหงื่อเหลืออยู่บ้าง รวมถึงเชื้อโรคที่อยู่บริเวณนั้นด้วย ผลการศัลยกรรมที่ได้คือลดกลิ่นให้น้อยลง จึงต้องใช้วิธีดูแลทำความสะอาดร่วมด้วย

          ศัลยกรรมลดกลิ่นรักแร้ส่วนใหญ่จะได้ผลดีถึงดีมากในแง่ของการลดเหงื่อและกลิ่น เนื่องจากต่อมต่าง ๆ จะอยู่ติดกับผิวมาก การทำลายต่อมเหล่านี้แพทย์จะต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อที่จะไม่ทำให้ผิวหนังบอบซ้ำมาก ขณะเดียวกันก็ต้องทำลายต่อมให้ได้มากที่สุด

          ข้อเสีย: ถ้าหากแพทย์ทำลายต่อมได้น้อย เพราะเกรงว่าจะทำให้ผิวหนังตาย ผลที่ได้ก็อาจไม่ดี และถ้าหากแพทย์ทำด้วยความรุนแรง หรือไม่ระมัดระวังต่อผิวหนัง ก็จะมีปัญหาเรื่องผิวหนังตาย ทำให้ผิวส่วนนั้นดำ

          วิธีการ / ค่าใช้จ่าย: แพทย์จะใช้วิธีให้ยาชาทำให้ไม่เจ็บในระหว่างทำ จึงไม่ต้องนอนพักรักษาตัว การทำด้วยวิธีนี้จะมีรอยแผลที่ซ่อนอยู่ในร่องพับรักแร้ รอยแผลจะดูดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลของแพทย์ที่จะทำให้ผิวไม่บอบซ้ำ ขณะทำศัลยกรรม รวมทั้งการเย็บแผลที่ดี ประณีต และมีประสิทธิภาพ หลังจากทำแล้วอาจต้องพักฟื้นประมาณ 5 วัน และไม่ให้แผลโดนน้ำ 7 วัน ไม่ควรใช้งานหรือขยับรักแร้นาน 14 วัน ค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมประมาณ 15,000 บาท


วิธีดับกลิ่นตัวแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน

          นำ “สารส้ม” มาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ หรือไม่ก็นำ “ใบตำลึง” มาโขลกให้ละเอียด ผสมกับ “ปูนแดง” ก้อนเล็ก ๆ แล้วนำมาทาบาง ๆ บริเวณรักแร้ แล้วปล่อยให้แห้งเอง ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้า คุณจะได้ทำงานตลอดวันโดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมารบกวนใครต่อใคร

รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย

มีกลิ่นปาก

          เมื่อไรก็ตามที่เราพูดคุยกับใครสักคน แล้วเขาเบือนหน้าหนีนิด ๆ และพยายามยืนห่างจากเราเหมือนรังเกียจกลิ่นปาก เราจะหมดความมั่นใจในทันที วิธีดูแลช่องปากเหล่านี้คงช่วยคุณได้มากทีเดียว

สาเหตุภายในช่องปาก

          1. ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากไม่ดี เช่น แปรงฟันไม่สะอาด มีคราบอาหารหรือคราบแบคทีเรียเกาะอยู่ตามผิวฟัน ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ก็ทำให้มีกลิ่นปากได้ ถ้ามีเศษอาหารติดตามซอกฟัน ต้องกำจัดออกโดยใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งควรฝึกใช้ให้เป็นนิสัยอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

          2. มีฟันผุ ทำให้เศษอาหารติดค้างอยู่ในรูฟันที่ผู อาหารเหล่านี้จะบูดเน่าและทำให้เกิดกลิ่น หรือผู้ที่มีฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน มีหนองที่ปลายรากฟัน หนองพวกนี้จะมีกลิ่นมาก การแก้ไขคือ อุดฟันซี่ที่ผุนั้น ถ้าผุทะลุโพรงประสาทแล้ว ก็ต้องรักษารากฟัน ถ้าผุมากจนไม่สามารถเก็บฟันไว้และรักษาให้ดีเหมือนเดิมได้ ก็จะต้องถอนออกแล้วใส่ฟันปลอม

          3. โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ เนื่องจากมีหินปูนและเศษอาหารสะสม รอบรากฟันถูกทำลาย เหงือกอ้าออกจากตัวฟัน เศษอาหารเข้าไปสะสมได้ง่ายขึ้น และแปรงออกได้ไม่หมด ทิ้งไว้นาน ๆ จึงส่งกลิ่นออกมา การแก้ไขคือ ต้องกำจัดหินปูนออกให้หมด โดยให้ทันตแพทย์ขูดออก ในรายที่เหงือกอ้าออกมาก และมีหินปูนไปสะสมอยู่มาก อาจต้องผ่าตัดเปิดเหงือกออกเพื่อกำจัดหินปูนให้หมดแล้วจึงปิดเหงือกกลับเข้าไปตามเดิม

          4. มีแผลในช่องปาก กลิ่นปากอาจเกิดขึ้นได้ภายหลังการถอนฟัน หรือผ่าตัดในช่องปาก เนื่องจากขณะมีแผลในปากผู้ป่วยมักจะใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ถนัด การกินอาหารอ่อนทำให้มีอาหารติดฟันได้ง่ายมากขึ้น แผลที่มีเลือดไหลซึมจะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้เกิดการบูดเน่าและเลือดมีกลิ่นเหม็นได้

          วิธีแก้ไขคือ ขณะมีแผลในปาก ไม่ควรละเลยการทำความสะอาดช่องปาก หลังจากรับประทานอาหารควรแปรงฟันทันที โดยใช้แปรงปัดเบา ๆ เพื่อกันคราบอาหารเกาะฟันนาน ถ้าอ้าปากหรือแปรงฟันไม่ได้ ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ ทุกครั้งหลังกินอาหาร แล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นพันนิ้วเช็ดฟัน เมื่อแผลหายเป็นปกติและแปรงฟันได้แล้ว กลิ่นปากก็จะหายไป

          5. การใส่ฟันปลอมหรือใส่เครื่องมือต่าง ๆ ในปาก เช่น เครื่องมือจัดฟัน เครื่องมือกันฟันล้มเก หรือเฝือกสบฟัน เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี จะทำให้เกิดกลิ่น โดยเฉพาะเครื่องมือที่ทำด้วยอะคริลิกหรือมีส่วนผสมของอะคริลิก เพราะเนื้ออะคริลิกมีรูพรุนทำให้ดูดซึมของเหลวต่าง ๆ ได้ ถ้าล้างไปสะอาดเศษอาหารจะบูดเน่าติดอยู่กับเครื่องมือทำให้มีกลิ่นได้

          ดังนั้นควรทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากถอดแล้ว และถ้ายังไม่ใส่ต่อก็ควรแช่ไว้ในน้ำสะอาด ก่อนใส่ควรทำความสะอาดอีกครั้ง ฟันปลอมที่ใส่มานานแล้ว ถ้ามีคราบหรือหินปูนเกาะ อาจใช้น้ำยาสำหรับแช่ฟันปลอมโดยเฉพาะแช่เป็นครั้งคราวก็ได้

          6. ลิ้นเป็นฝ้า เกิดจากการสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรียที่ผิวด้านบนของสิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก เราสามารถขูดออกโดยใช้แปรงสีฟัน ผ้า ไหมขัดฟัน ไม้ขูดฟัน ขณะแปรงฟัน นอกจากนี้การกินอาหารที่มีกาก เช่น อ้อย สับปะรด ก็ช่วยขัดถูลิ้นได้ไปในตัว

          7. น้ำลาย ก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ถ้ามีน้ำลายน้อยชำระล้างเศษอาหารได้ไม่หมด ก็มีกลิ่นปากได้ ตอนตื่นนอนคนเราจึงมักจะมีกลิ่นปาก เพราะขณะหลับมีการไหลเวียนของน้ำลายน้อย ผู้ที่มีน้ำลายข้นเหนียวจะชำระล้างเศษอาหารได้ไม่ดีเท่าผู้ที่มีน้ำลายใส ดังนั้นควรดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้ารู้สึกว่าปากแห้งคอแห้ง

สาเหตุภายนอกช่องปาก

          1. โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน เริ่มตั้งแต่จมูก คอจนถึงหลอดลม ไซนัสอักเสบ เกิดจากการมีของเหลวหรือหนองอยู่ในโพรงอากาศของจมูก ซึ่งมีหลายโพรงอักเสบจนมีหนองทำให้เกิดกลิ่นออกมาทางจมูกขณะหายใจ และทางปากขณะพูด ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดบ่อย ๆ หรือเป็นนาน ๆ

          2. โรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งที่ปอด มักมีกลิ่นออกมากับลมหายใจสะสมปาก ผู้ที่สูบบุหรี่นาน ๆ ทำให้ลมหายใจ และลมปากมีกลิ่นได้เช่นกัน

          3. มะเร็งโพรงจมูก จะมีกลิ่นเหม็นมาก และมีหนองไหลออกจากจมูกลงไปในคอเวลาก้มศีรษะ ซึ่งคุณควรจะต้องปรึกษาแพทย์

          4. ทอนซิลอักเสบ ผู้ที่เจ็บคอขณะที่มีการอักเสบในลำคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังก็มีกลิ่นปากได้ และจะหายไปได้เองเมื่อคอหายอักเสบ

          5. ระบบย่อยอาหาร เริ่มตั้งแต่ปาก หลอดอาหารกระเพาะอาหารและลำไส้ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีหนอง อาจมีกลิ่นออกมา ขณะพูดหรือเรอได้ ผู้ที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี ท้องอืด ท้องเฟ้อ เมื่อมีลมออกจากกระเพาะจะมีกลิ่นเหมือนอาหารบูดตามออกมาด้วย รวมทั้งผู้ที่ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกบ่อย ๆ เมื่อมีลมดันขึ้นหรือเรอจะทำให้ปากมีกลิ่นได้เช่นกัน

          นอกจากนี้กลิ่นปากยังเกิดได้จากการที่สารมีกลิ่นถูกดูดซึมเข้าทางกระแสโลหิต และถูกขับออกทางลมหายใจ เหงื่อ น้ำลาย หรือทางปัสสาวะ สารที่ถูกดูดซึมเข้าไปนี้อาจมาจากอาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือมีการสะสมของสารที่ผิดปกติ ในเลือด

          6. การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ สะตอ ทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่เมื่อถูกย่อยดูดซึม และขับถ่ายออกหมด กลิ่นจะหายไป แต่ถ้ารับประทานอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้มีกลิ่นปากอย่างต่อเนื่องได้ด้วย

          7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ทำให้ปากเหม็นเช่นกัน ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดกลิ่นได้ เช่น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง และยาโรคจิตบางตัว

วิธีรักษาและป้องกัน

          การกำจัดกลิ่นปากขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิด ถ้าเกิดจากภายในช่องปาก ควรปรึกษาหมอฟันเพื่อได้รับการอุดฟันรักษาโรคเหงือก แนะนำวิธีแปรงฟัน และตรวจสุขภาพในช่องปากทุก ๆ 6 เดือน และหากสาเหตุของการเกิดกลิ่นมาจากอวัยวะส่วนอื่น ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้รับการรักษาตามโรคนั้น ๆ

          ยาสีฟัน ยาอม หรือหมากฝรั่ง มิใช่ เป็นการรักษาแต่อย่างใด ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อดับกลิ่นปาก ควรเลือกให้เหมาะสม น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคมักใช้เมื่อมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลในช่องปากหรือลำคอเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำ เนื่องจากไม่ได้กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก เช่น โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือรากฟันเป็นหนอง และถ้าไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ กลิ่นปากจะไม่มีวันหมดไปได้

          เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง เพราะยาจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามปกติในช่องปากจนหมด จึงอาจติดเชื้อราได้ง่าย และถ้าเป็นเชื้อราแล้วจะรักษาค่อนข้างยากและหายช้า สำหรับน้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ ซึ่งทันตแพทย์แนะนำให้อมบ้วนปากเพื่อป้องกันฟันผุ คุณสามารถใช้ได้ โดยเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมอยู่ ถ้าเป็นกลิ่นปากที่เกิดขึ้นชั่วคราวหลังรับประทานอาหารกลิ่นแรง ให้เคี้ยวใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง หรือกานพลู หลังมื้ออาหาร หรือสะดวกกว่านั้นก็คือ เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล

รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย

จุดซ่อนเร้นมีกลิ่น

          เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายเพียงอย่างเดียว แต่บางอาการอาจมีโรคร้ายซ่อนอยู่ มิหนำซ้ำอาจทำให้ชีวิตคู่อับปางลงได้

          สาเหตุ: กลิ่นบริเวณนี้เกิดจากต่อมสร้างกลิ่นที่เรียกว่า "อะโปโครน์" (Apocrine Glands) เป็นต่อมที่พบมากบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ และเต้านม ต่อมนี้หลั่งสารไขมันคล้ายมุกที่ไม่มีกลิ่น แต่แบคทีเรียชนิดธรรมดาบนผิวหนังสามารถใช้สารเหล่านี้เป็นอาหารและขับถ่ายสารที่มีกลิ่นออกมากลายเป็นกลิ่นพิเศษเฉพาะบุคคล

          อย่างไรก็ตาม หากดูแลสุขอนามัยของร่างกายตามปกติ ไม่มีภาวะอักเสบหรือโรคร้ายซ่อนอยู่ จุดซ่อนเร้นทั้งของผู้หญิงและผู้ชายต้องไม่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง แต่ถ้าหากมี อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

          1. มีจำพวกแบคทีเรียธรรมดาเพิ่มขึ้น เนื่องจากการดูแลสุขอนามัยน้อยเกินไป

          2. มีภาวะอักเสบติดเชื้อจากเชื้อราหรือเชื้อโรคตัวร้ายชนิดต่าง ๆ เช่น เชื้อบิด เชื้อวัณโรค เชื้อโรคที่เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์

          3. มีเนื้องอกหรือมะเร็งภายใน

วิธีสร้างกลิ่นดีๆ ที่บริเวณจุดสงวน

          - ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดอาหาร หวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ซึ่งทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ

          - ดื่มน้ำให้ได้วันละ 1.5-2 ลิตร ไม่กลั้นปัสสาวะไม่กลั้นอุจจาระ

          - ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักสด ผลไม้ ธัญพืช ฯลฯ เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย หากมีกลิ่นเหม็นที่จุดสงวนซึ่งเกิดจากการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียตัวร้าย แนะนำให้กินนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตที่เติมจุลินรีย์ชนิดดีวันละ 1 ถ้วย

          - ดูแลกล่องดวงใจ การทำความสะอาดโดยการอาบน้ำเช้า - เย็น ในเมืองร้อนอย่างบ้านเราถือว่าเพียงพอ เมื่อเปียกหรืออับชื้นควรเป่าพัดลมหรือซับให้แห้ง ไม่จำเป็นต้องดูแลมากจนเกินไป เช่น ล้างน้ำทุกครั้งที่ปัสสาวะ ซึ่งนอกจากอับชื้นแล้วยังอาจปนเปื้อนเชื้อโรค หรือเกิดการอักเสบได้






ขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รับมือกับสารพัดกลิ่นกาย อัปเดตล่าสุด 17 มิถุนายน 2558 เวลา 15:55:04 3,527 อ่าน
TOP