เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก luangpunenkham.com
เจ้าคณะฯ ยัน สมีคำ สึกแล้ว เตรียมลี้ภัยเป็นพลเมืองสหรัฐฯ อ้างทราบข่าวจากสื่อไทยในวอชิงตัน เตรียมติดต่อขอภาพสมีคำสึกเพื่อยืนยัน ขณะที่ DSI ไม่เชื่อข่าวสึก ชี้สมีคำลี้ภัยไม่ได้ เพราะตัวเองมีหมายจับและคดีอาญาติดตัว คิดว่าเป็นการสร้างข่าวเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง เผยสมีคำซื้อประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ 500 ล้าน คาดมีกุนซือคอยวางแผนการเงินให้
วานนี้ (29 กรกฎาคม 2556) มีกระแสข่าวว่า นายวิรพล สุขพล หรือสมีคำ ได้ลาสิกขาแล้ว เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และกำลังยื่นขอเป็นพลเมืองของประเทศสหรัฐฯ โดยยืนยันว่าจะไม่กลับไทยอีก เนื่องจากอยากหลบหนีความวุ่นวาย ทั้งนี้ เมื่อข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป ก็ทำให้บรรดาลูกศิษย์ของสมีคำที่พากันเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก และไม่เชื่อว่าสมีคำจะสึกจริงตามที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พระครูสุริวิมลสารธรรม หรือพระครูตุ่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยทับทันเขต 2 อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ กล่าวยืนยันว่า สมีคำได้ลาสิกขาแล้วจริง โดยทราบข่าวนี้มาจาก นายริชาร์ต ไชยสมร นักข่าวชาวไทย ผู้สื่อข่าว MV TV NEWS ประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าสมีคำได้ลาสิกขาที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นวัดของชาวไทยหรือว่าชาวลาว
นอกจากนี้ ยังทราบมาว่า หลังจากที่สมีคำสึกแล้ว ได้หลบไปพักกับคนที่รู้จักกันและกำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ยังไม่ทราบว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่ เพราะทางสหรัฐฯ มีกฎระเบียบค่อนข้างเข้มงวด อีกทั้งสมีคำยังเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา จึงคาดว่าไม่สามารถขอลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐฯ ได้ และขณะนี้ก็ทราบว่าทางการสหรัฐฯ กำลังตามล่าตัวสมีคำอยู่ แต่เนื่องจากสมีคำสึกแล้วทำให้ตามตัวลำบากมากขึ้น เพราะเมื่อเป็นฆราวาสการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ก็จะสะดวก ทั้งนี้ พระครูสุริวิมลสารธรรม ได้ขอหลักฐานเป็นรูปภาพจากนักข่าวคนดังกล่าว เพื่อยืนยันว่าสมีคำได้สึกแล้วจริง เพื่อจะได้ยืนยันกับประชาชนต่อไป
ส่วนทางด้าน นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี สาวที่อ้างตัวว่า เป็นเมียและมีลูกอายุ 11 ขวบกับอดีตหลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า อดีตหลวงปู่เณรคำเมื่อสึกแล้วก็ควรกลับมาไทย เพื่อแสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายในการกระทำต่าง ๆ ที่ทำไว้ โดยเฉพาะควรต้องมาแสดงความรับผิดชอบต่อลูกชาย เพื่อให้ลูกได้รับการเลี้ยงดู และได้รับการศึกษาที่ดี ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกชายต้องมีความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากแบบนี้
ขณะที่ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า เรื่องที่สมีคำสึกจากความเป็นพระที่สหรัฐฯ เพื่อขอเป็นผู้ลี้ภัยนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะกระทำเช่นนั้น เนื่องจากคดีติดตัวสมีคำเป็นคดีอุฉกรรจ์ ไม่ใช่คดีทั่วไปคงไม่มีประเทศไหนกล้าที่จะให้สมีคำลี้ภัยอย่างแน่นอน ดังนั้น ข่าวนี้น่าจะเป็นการสร้างขึ้นเพื่อบิดเบือนประเด็นมากกว่า
ส่วนทางด้าน พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวสมีคำว่า เบื้องต้นได้ประสานไปยังทางการสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งคงต้องให้เวลาสหรัฐฯ ในการดำเนินการตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังประสานไปยังตำรวจสากลเพื่อจับตาการเคลื่อนไหว หากพบว่ามีการเดินทางโดยสายการบินก็จะทราบข้อมูลได้ในทันที ส่วนการลี้ภัยเป็นพลเมืองสหรัฐฯ นั้น ตนเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลจากหลายด้านประกอบกัน ถึงแม้ว่าสมีคำจะมีทรัพย์สินหรือบ้านที่สหรัฐฯ แต่การลี้ภัยนั้น เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และกรณีของสมีคำที่ทั้งหมายจับ คดีฉ้อโกง, ล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง และคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นความผิดสากล คงไม่สามารถขอลี้ภัยได้
ด้าน พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงกรณีการตรวจสอบการซื้อประกันชีวิตจำนวน 500 ล้านบาท ของสมีคำว่า จากแหล่งข้อมูลพบว่ามีซื้อประกันภัยแบบออมทรัพย์หลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ครั้งละ 10-20 ล้านบาท โดยมีนายหน้ารับหน้าที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเสียค่านายหน้ารายละประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งหลังจากนี้จะต้องเชิญเจ้าหน้าที่จากธนาคารมาให้ข้อมูลดังกล่าว
อย่างไรก็ดี รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะการซื้อประกันภัยแบบออมทรัพย์ถือว่าเป็นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการวางแผนที่ดีของกุนซือและมีการทำอย่างเป็นขบวนการ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
