ขอขอบคุณภาพประกอบจาก BE Magazine
หลายคนต่างมีทางเดินชีวิตเป็นของตัวเอง บ้างก็เดินตามเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ก้าวเดิน แต่บางคนก็เลือกที่จะทำอะไรแตกต่าง เพราะไม่ชอบการอยู่ในกรอบที่คนอื่นตั้งไว้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เลือกเดินในเส้นทางที่ตัวเองพอใจ ถึงแม้ว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้น จะต้องล้มลุกคลุกคลานมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมองว่าประสบการณ์เหล่านั้นคุ้มค่าพอที่จะเรียกมันว่าชีวิต และเพื่อให้ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ และรู้จักแนวคิดในการใช้ชีวิตของ ซันนี่ กันมากขึ้น กระปุกดอทคอมจึงได้นำบทสัมภาษณ์ของ ซันนี่ จาก BE Magazine มาฝากค่ะ
โดย ซันนี่ ได้กล่าวถึง มุมมอง และทัศนคติในการใช้ชีวิตของ คนในสังคมว่า คนส่วนใหญ่มักวางแผนอนาคตไว้ว่า อายุเท่านี้ต้องมีอะไร อายุเท่านี้ทำอะไร โตมาต้องมีลูก ต้องแต่งงานตอนไหน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะพวกเขาอาจได้รับอิทธิพลจากคนใกล้ตัว แต่สำหรับตน หากรู้สึกว่าอยากทำอะไร ตนก็จะทำ ถ้าสิ่งนั้นไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ต่อให้คนใกล้ตัวบอกอะไร แต่ถ้าตนไม่อยากทำ ก็คงจะไม่ทำ ที่ผ่านมาเวลาเห็นคนมีปัญหา พวกเขาก็มักแสดงออกคล้าย ๆ กัน เช่น พออกหักจะร้องไห้ฟูมฟาย ชอบมาพูดนู่นพูดนี่ เหมือนเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน แต่สำหรับตนเมื่ออกหักแล้วไม่รู้สึกเฮิร์ท ตนก็จะไม่ไปกินเหล้า ไม่นั่งโวยวาย แล้วบอกให้ใครฟังว่ามีปัญหาชีวิต เพราะตนไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาชีวิตแบบนั้น และตนก็จะมองว่า ผู้ชายกับผู้หญิงเหมือนสองสิ่งที่คิดไม่เหมือนกัน แต่โดนจับมาให้คู่กัน ให้มาทดสอบอยู่ร่วมกัน เมื่อทัศนคติ หรือแนวคิดไม่ตรงกันก็เลิกกันดีกว่าต้องมาทะเลาะกัน
"ผมมองว่า ทุกคนมักมีเหตุผลรองรับการกระทำของตัวเองทั้งนั้น หากมีผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็จะไม่ล้ำเส้นอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งผู้ชายก็ไม่ได้มองว่าผู้หญิงเข้าใจยากเสมอไป จริง ๆ ผู้ชายสามารถเข้าใจผู้หญิงได้ในระดับหนึ่ง แต่การที่เขาไม่พูด เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเดิม ๆ ต่างกันต่างรู้กันอยู่แล้ว จะมาเถียงกันเรื่องเดิมๆ ทำไม สู้ไม่พูดจะดีกว่า ส่วนในเรื่องความรักนั้น ผมมองว่า ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ซึ่งเวลาที่ใครรู้สึกอยากทำอะไรให้ใคร หรือว่ารู้สึกดีต่อใคร ถือเป็นเรื่องที่ดี" ซันนี่ กล่าว
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต ซันนี่ บอกว่า เป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ และมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ตนชอบชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเศร้า จะสุข จะทุกข์ ก็ชอบหมด เมื่อมีปัญหาอะไร ตนก็ชอบที่จะแก้ปัญหานั้น แต่คงไม่มานั่งคิด นั่งเครียด เพราะไม่ชอบแบบนั้น ทั้งนี้ ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะแก้ด้วยตัวเองได้ทั้งหมด ดังนั้นหากเป็นสิ่งที่ต้องทำ ตนก็จะตั้งใจทำ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลา
"ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้จัก และรักสิ่งไหนมาก่อนเลยในชีวิต จนมาเจอการแสดง ผมรู้สึกว่าอยากทำสิ่งนี้ เพราะเห็นคุณค่าของอาชีพนี้ และมีความสุขที่ได้ตื่นมาทำงานทุกวัน โดยไม่เคยรู้สึกเหนื่อย ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องเรียนรู้นั้น ผมชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าจะทำได้ไหม อย่างเช่นเรื่องเล่นกีตาร์ที่เรียนรู้เอง เพราะไม่อยากเสียเงิน และคิดว่าคนที่เขาทำเครื่องดนตรีเขายังคิดเอง ทำเองได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ซึ่งเรื่องดนตรีนั้นผมไมได้จริงจังอะไร เพราะสมัยก่อนแค่ลองเล่น ลองทำอะไรไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็รู้ว่า เราแค่เล่นสนุก ๆ ไม่ได้รักมัน ไม่ได้อยากทำมันให้ดีที่สุด มันไม่เหมือนกับการแสดง แต่ถ้ายังไม่เจอการแสดง หรือยังไม่เจอสิ่งที่รัก ผมก็คงทำในสิ่งที่อยากทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบที่ที่ตัวเองรัก ซึ่งก็พูดได้ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องการแสดง ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไร" ซันนี่ กล่าว
ส่วนเรื่องที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อย ๆ ซันนี่ บอกว่า ตนก็แค่อยากไปเฉย ๆ ไม่ได้มองว่า ได้ไปหลายๆ ที่ แล้วจะได้เห็นโลกกว้างขึ้น หรือทำให้เราเติบโตขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วเมื่อคนเราพบเจออะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น และทำให้ความคิดอ่านของเราโตขึ้นได้เหมือนกัน เรื่องการใช้ชีวิตนี่ ก็เคยมีคนบอกเหมือนกันว่า มันต้องเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ จนบ้างครั้ง เรากลัวว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะผิด แต่ถ้าคิดแบบนั้นเราก็จะไม่รู้ว่า อันไหนเป็นอะไรกันแน่
ซันนี่ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อในเรื่องโชคชะตามากกว่า เช่นเรื่องของการแสดง หลังเรียนจบก็เริ่มรู้สึกว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เหมาะกับเรา แต่ถ้าทำแล้วยังไม่ใช่ ก็จะมีความรู้สึกว่าเราจะต้องเจออะไรที่ดีกว่านี้ นอกจากนี้ซันนี่ยังเล่าถึงเรื่องดี ๆ ในของชีวิต นั่นคือเรื่องของครอบครัว ที่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และตอนนี้ครอบครัวก็มีความสุขดี ส่วนอีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตมีความสุข คือเรื่องของงานแสดง ถ้าไม่เจอสิ่งนี้ ก็เหมือนไม่มีอะไรที่ทำให้ตนมีความสุข ซึ่งตอนนนี้ก็ถือว่าชีวิตดีแล้ว และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร
ส่วนเรื่องที่หลาย ๆ คน มองว่า ซันนี่ ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนั้น ซันนี่ กล่าวว่า จริง ๆ ตนไม่ได้มองเป็นความสำเร็จ เพราะแค่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ มันเป็นสิ่งที่เราเป็น แม้คนนอกจะมองว่าการมีรายได้จำนวนมากจากการแสดง และการมีชื่อเสียงจะเป็นความสำเร็จ แต่สำหรับตนแค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก็พอ ถ้าหากชีวิตเกิดมีอุปสรรคขึ้นมา ก็คงใช้วิธีสู้อย่างเดียวจนกว่าปัญหานั้นจะหมดไป
ซันนี่ ยังพูดถึงตัวเองว่า บางครั้งตนนิสัยไม่ดี ขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย ชอบพูดจาไม่ดีออกมา เอาแต่ใจ และมักพูดจาทำร้ายจิตใจคนในครอบครัว โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตนก็อยากขอบคุณครอบครัวที่อยู่เคียงข้างมาตลอด ที่ผ่านมาทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะ ตอนนี้จะพยายามทำดีให้มากที่สุด
นอกจากนี้ ซันนี่ ยังทิ้งท้ายเรื่องการใช้ชีวิตว่า บางคนบอกว่าชีวิตเหลือเวลาแค่นี้ ต้องรีบทำชีวิตให้ดี ซึ่งตนไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย คิดแค่ว่า อยากทำอะไรก็ทำ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่มีการเร่งรีบอะไร แต่พรุ่งนี้ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นทำวันนี้ให้เต็มที่ก็พอ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ หรือเสียดายทีหลัง เพราะได้ทำสิ่งที่อยากทำไปหมดแล้ว
จากบทสัมภาษณ์ในข้างต้น คงทำให้หลายคนรู้จักตัวตนของของ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กันมากขึ้น จนได้รู้ว่า แม้หนุ่มคนนี้จะใช้ชีวิตที่ดูเหมือนเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไม่สนใจใคร แต่ที่จริงแล้ว ซันนี่ก็มุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งการได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือก ก็ทำให้เขามีความสุขอย่างที่เขาพอใจแล้ว
รวมเรื่องเด็ด สุดยอดของผู้ชาย สาวสวยเซ็กซี่ แฟชั่น รถยนต์ คลิกที่นี่
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ฉบับที่ 38